"คุณเป็นทุกข์เพราะ facebook บ้างหรือเปล่า?" ... (ธรรมะความคิด โดย คุณพิทยากร ลีลาภัทร์)


วันนี้เข้ามาไปอ่าน Twitter แล้ว มีบทความที่คุณเอ๊ดดี้ พิทยากร ลีลาภัทร์ ผู้เขียนหนังสือ "ธนาคารความสุข" แชร์ไว้ เห็นว่าที่เป็นเรื่องน่าสนใจจึงนำมาแชร์ต่อในบันทึกนี้ครับ เพราะผมเคยเป็นและหลายคนก็กำลังเป็นกันอยู่



คุณเป็นทุกข์เพราะ facebook บ้างหรือเปล่า?


Q: "มีวิธีคิดหรือวางใจอย่างไรไม่ให้ตัวเองทุกข์ หากพบว่า คนบางคนไม่ชอบเรา คือรู้ เข้าใจว่ามันเป็นธรรมดาที่ต้องมีคนรักคนเกลียด แต่ก็อดเสียใจไม่ได้ ทำให้เราเอาใจไปจดจ่อใส่ใจกับคน ๆ นี้ตลอดเวลา

เรื่องของเรื่องคือ หนูลบเฟสบุ้คคนบางคนออก คือ ตอนนั้นเห็นว่ามีไว้ก็ไม่เห็น comment หรือ Like กันเลย ก็เลยลบไป เราไม่ได้คิดว่าจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเสียใจหรือคิดมาก ตอนหลังรู้สึกเสียดายว่าไม่น่าลบเลย อาจได้คุยอีกก็ได้ ก็เลยแอดกลับ ปรากฏว่าเรารู้สึกเหมือนเขาไม่ชอบเราไปแล้ว เห็นเค้าไปเมนต์ ไลค์ เอารูปข้อความดี ๆ แชร์ให้แทบทุกคนในที่ทำงาน แต่กลับไม่เคยมาเมนต์ มาไลค์เราเลย ไม่ว่าเราจะคิดไปเอง หรือใส่ใจจับจ้องเค้าเกินไปหรือไม่ แต่หนูคิดว่าหนูไม่ได้คิดไปเอง

หลายคนอาจจะบอกว่า เรื่องไลค์ไม่ไลค์มันก็เรื่องของเค้า แต่อันนี้มันผิดสังเกตเกินไปน่ะค่ะ ทำให้เรารู้สึกว่า คงไม่ชอบเราจากเรื่องนั้นหรือเปล่า เค้าเองก็อาจจะคิดเหมือน ๆ เราว่า ลบเค้าออกทำไม ทำไมลบเค้าคนเดียว

แต่หนูก็ไม่รู้ว่าสาเหตุจริง ๆ ที่ทำให้เค้าไม่ชอบเรา มันเพราะอะไรกันแน่ เรื่องนี้ก็แค่สันนิษฐาน หนูรู้สึกว่า การทำให้เรารู้สึกเหมือนเราไม่มีตัวตน ไม่มีความสำคัญ หรือการแสดงออกอย่างอ้อม ๆ ว่าไม่ชอบเราแบบนี้ มันทำให้ทุกข์ได้เหมือนกัน อาจจะเพราะเรายึดติดในตัวตนเราเขาก็ได้ค่ะ

ที่หนูสงสัยคือ ควรวางใจอย่างไร เพราะหนูรู้สึกว่า คนเราพอรู้ว่ามีคนไม่ชอบเรา เป็นใครก็ต้องรู้สึกว่าทำไมนะ แล้วเราก็จะไม่ชอบคน ๆ นั้นตอบเพราะรู้สึกว่าทำไมเค้าต้องมาไม่ชอบเรา

แต่ไม่รู้เป็นกรรมของหนูหรือไงนะคะ ที่จะต้องมีอะไรกับคนที่เค้าสนใจธรรมะทุกที ก่อนหน้านี้ก็คนนึง ตอนนี้ก็คนนี้ เลยขอถามรวมถึงการวางใจต่อคนที่มีธรรมะหรือคนที่ใครๆก็ว่าเขาดีแต่ดันไม่ดีกับเรา ไอ้จะแช่งก็รู้สึกว่าคงแช่งไม่ไป เพราะเค้าสนใจธรรมะก็คงได้ดี หรือพระท่านต้องการให้หนูไม่เคียดแค้นใคร หรือถึงอยากแค้นก็รู้ว่าทำไปก็ทำร้ายตัวเอง

หนูไม่รู้ว่าจะวางใจอย่างไรดี"

===========

A: คนรุ่นเรานี่เป็นอะไรกับ facebook มากนะครับ
จนผมสังเกตว่า บางคนรู้สึกว่า facebook เหมือนเกมชนิดหนึ่ง
ที่ต้องแข่งกันว่า ใครมีเพื่อนเยอะกว่า ใครมี status ที่คน Like มากกว่า

เวลาจะเขียนอะไรทีนึง ก็ต้องห่วง ต้องทุกข์เพราะอยากให้คน Like
อยากให้คน comment เยอะๆ เพราะมันสนองมานะอัตตา
มานะอัตตา ภาษาพระเรียก "อติมานะ" คือความรู้สึกว่ามี "กู"

ยิ่งมีจำนวนคน like มาก สติปัญญาอาจจะน้อยลง มานะอัตตาเพิ่มขึ้น
ว่ากูเก่ง กูดัง กูเท่ โดนกิเลสมันหลอกเอาแท้ ๆ เลยนะ

ถ้าเคยดูหนังเรื่อง Social Network จะรู้ว่า มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก
เขาสร้าง facebook ไว้ให้เรา "ใช้งาน" ติดต่อกับเพื่อนฝูง
คนที่ไม่ค่อยได้เจอหน้าค่าตา ให้รู้เรื่องราวความเป็นไปของกันและกัน

ไม่ได้ให้เรามีเพื่อเป็นภาระ เป็นทาสของมันนะครับ
นี่คือเรื่องแรกที่อยากให้วางใจให้ถูก

มีสำนวนไทยอันนึงเขาบอกว่า ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด
พี่ว่าคุณเป็นแบบนั้นเลย คุณรู้ตัวว่าใส่ใจคนๆเดียวมากไป
รู้ตัวว่า "ยึดติดในตัวตนเราเขา" รู้ว่าแค้นไปก็ทำร้ายตัวเอง

ที่เป็นแบบนี้ เพราะคุณมีปัญญา แต่ปัญญาที่มีมันเป็นปัญญาจากการฟัง
อย่างมากก็ปัญญาจากการคิด ไม่ใช่ปัญญาจากการปฏิบัติภาวนา

พระพุทธเจ้าท่านแบ่งปัญญาไว้สามระดับครับ
๑. ปัญญาจากการฟังหรืออ่าน (สุตตมยปัญญา)
๒. ปัญญาจากการคิด จินตนาการ (จินตมยปัญญา)
๓. ปัญญาจากการที่จิตเห็นจริงเห็นแจ้ง (ภาวนามยปัญญา)


ถ้าแค่ฟัง หรืออ่าน แล้วคิดเอาว่า น่าจะเป็นอย่างนั้น น่าจะทำแบบนี้
แต่จิตเขาไม่เห็น ไม่เชื่อ ไม่รู้จะทำได้ไง ก็จะเข้าตำรานี้แหละ

คนจำนวนมากในโลก เป็นพวกดีชั่วรู้หมดแต่อดไม่ได้ ก็เพราะแบบนี้
เพราะความอยากดีมันอยู่ในระดับความรู้แบบจำมา ฟังมา คิดเอา
ยังไม่เข้าถึงจิตจริงๆ

คนที่อยากปล่อยวาง แล้วสั่งจิตให้ปล่อยวางไม่ได้ ก็เพราะแบบนี้

พระพุทธเจ้าท่านถึงบอกว่า จิตน่ะ ไม่ใช่เราหรอก
ความรู้สึกมีเราน่ะ เป็นแค่เปลือกที่จิตสร้างขึ้นแล้วยึดไว้

ถ้าจิตเป็นเราจริงๆ ทำไมเราสั่งจิตไม่ได้ล่ะ ว่าให้ปล่อยวางนะๆๆ
ทำไมเราสั่งไม่ได้ว่า อย่าคิดมากนะ อย่าทุกข์นะ จงมีแต่สุขเถิด ฯลฯ

การที่สั่งจิตไม่ได้ จิตไม่อยู่ใต้อำนาจสั่งการของเรา
นี่แหละ ธรรมะชั้นเยี่ยมเลย ท่านเรียก "อนัตตา"

สนใจเรื่องคนอื่นให้น้อยๆ เอาแค่พอเข้าใจเขา เกื้อกูลกัน เมตตากัน
รักษาศีล แล้วหันมาสังเกต สนใจ ตัวเราเองให้มากไว้ คอยมีสติรู้สึกตัวไว้
รู้สึกตัว รู้ว่าจิตเปลี่ยนแปลง คิด นึก ปรุงแต่ง สติจะเจริญขึ้น ๆ

ใครไม่ชอบเรา ก็เข้าใจเขา ใจไม่ชอบ รู้สึกตัวว่าจิตกำลังมีโทสะ
มีคนไม่ชอบรอบ ๆ ตัว เราก็ยิ่งมีโอกาสทำทานเยอะนะ อภัยทานน่ะ

แล้วก็สำรวจตัวเองตามสมควร ว่าเราไปทำอะไรที่เบียดเบียนเขาไหม
ถ้ามีก็เลิกทำซะ ถ้าไม่มีก็เข้าใจเขานั่นแหละ ว่าเขาก็คน เราก็คน
บางวันก็คุ้มดี บางทีก็คุ้มร้าย มันเอาแน่เอานอนไม่ได้หรอก

โลกนี้มีอะไรให้ยึดมั่นถือมั่นได้ล่ะ นอกจากธรรมะ ไม่มีเลยนะ
ชีวิตมนุษย์สั้นมากนะ ไม่กี่สิบปีก็เท่งทึงกันหมดแล้ว
จะไปอะไรนักหนากับเรื่องไม่ได้อย่างใจ กับความคิดของคน

ใครเขาจะ like หรือ unlike แล้วยังไง
กินอิ่ม นอนหลับ ขับถ่ายสะดวกมากขึ้นหรือน้อยลงไหม

อย่าเอาเรื่องไม่มีสาระ มาสร้างทุกข์ให้ตัวเองนะ


...................................................................................................................................................................

ที่มา : https://www.facebook.com/Eddy.Pithyakorn/posts/10151617308657144

..................................................................................................................................................................


เรื่องราวนี้เป็นสิ่งที่สะท้อนความเป็นโลกเสมือนของสังคม Social Network ที่เราเห็นกันบ่อย
หลายคนไม่สามารถแยกแยะ "โลกความจริง" กับ "โลกเสมือน" ออกจากกันได้
ทำให้ความทุกข์วิ่งออกมาตามตัวนั้น ๆ

ข้อแก้ไขจากธรรมะของพระพุทธองค์ยังช่วยเหลือคนที่ไม่ชอบถูก "นินทา"
รับไม่ได้กับการที่คนอื่นในสังคมเอาเรื่องของเราไปพูดเสีย ๆ หาย ๆ
ทั้ง ๆ ที่ทั้งหมดนี้เราคิดไปเองคนเดียว จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง ไปตามการปรุงแต่ง

หากเป็นทุกข์ ก็ไม่ใช่เป็นทุกข์เพราะคนอื่น
หากแต่เป็นเพราะตัวของเราเองนั่นแล

ไม่มีใครเคยรอดพ้นจากการนินทา แม้กระทั่งพระพุทธองค์
แล้วเราเป็นใครจึงรอดพ้นธรรมดาของโลกนี้ไปได้

เสียเวลาชีวิตที่ต้องเอาจิตมาคิดเรื่องนี้
ทำหน้าที่ของความเป็นมนุษย์ให้ดีที่สุดไปก่อน
ไม่ดีกว่าหรือ

ตรองและลองคิดครับ

บุญรักษา ทุกท่าน ;)...


หมายเลขบันทึก: 543590เขียนเมื่อ 25 กรกฎาคม 2013 15:36 น. ()แก้ไขเมื่อ 26 กรกฎาคม 2013 00:13 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (14)

ไม่เคยทุกข์เลยค่ะ

สนุกกับมันด้วยซ้ำเพราะเพื่อนที่ไม่เคยเจอก็ได้เจอค่ะ

ได้ส่งข่าวกัน

ไดแบ่งปันความสุข ความทุกข์ ได้ให้กำลังใจเพื่อน

ไม่เคยสนว่าใครจะกดไลค์หรือไม่เพราะเราแค่อยากส่งข่าวเท่านั้น

สำหรับครูแกงมันเป็นเครื่องมือสื่อสารค่ะ

 

เคยทุกข์ เคยเฝ้า เคยหวง เคยงอน และเคยอะไรอีกมากมาย สุดท้ายก็วางไว้ตรงนั้นแหละครับ... ทุกข์อยู่คนเดียว แต่สำหรับตอนนี้ไม่ทุกข์แระ ไม่ใช่ชาชิน ชินชานะครับ แต่รู้เท่าทัน ตามทันมากกว่า และทำตามแบบที่ อ.วัส ว่าไว้ว่า 

"ทำหน้าที่ของความเป็นมนุษย์ให้ดีที่สุดไปก่อน

ไม่ดีกว่าหรือ"

ขอบคุณครับที่นำมาแบ่งปันให้ได้คิดทบทวน

ขอบคุณครับ อาจารย์ เป็นคำถาม คำตอบ ที่น่าจะเข้ายุคสมัยมากเลยครับ...

ความจริงก็มีความสุขกับตรงนี้นะคะ 

ติดต่อเพื่อนฝุงกันง่ายๆ up date กันง่ายๆ ค่ะ 

ปัจจุบันดิฉันทำงานด้วยไลน์เยอะมากค่ะ ได้ผลดีด้วยค่ะ

 

ไม่ซีเรียสค่ะอาจารย์ หากเวลาน้อยนิดก็ติดตามเฉพาะบางคนเท่านั้นก็พอค่ะ

ขอบคุณกัลยาณมิตรทุกท่านนะครับ ;)...

Facebook มีประโยชน์ หรือ โทษ ขึ้นอยู่กับคนใช้
แต่มีผู้ใช้หลายคนแยกโลกไม่ถูก..ก็ทุกข์กันไป

ธรรมะที่ใช้ได้จึงถูกนำเสนอครับ ;)...

สวัสดีค่ะท่านอาจารย์ 

สบายดีนะคะ...;)

ทุกอย่างมีดีในเสีย มีเสียในดี แต่จากข้อสังเกตเล็กๆ เพื่อนๆ คนไทยใช้เฟสเยอะจริงๆ ค่ะ เมื่อเทียบกับเพื่อนๆ ที่สิงคโปร์ คงเป็นเพราะความกว้างใหญ่ไพศาลของเนื้อที่ในประเทศเรา ที่ต้องใช้การติดต่อสื่อสารด้วยค่ะ ที่นี่ใช้ line หรือ what's app คุยกันมากกว่า ;)

สุขสันต์วันเสาร์ค่ะ

อาจารย์ ...ปริม ทัดบุปผา... ;)...

สบายดีตามอัตภาพนะครับอาจารย์

อาจารย์ล่ะ สบายดีไหม ;)...

ไม่ค่ะอาจารย์ FB ช่วยให้ได้ทราบข่าวคราวของเพื่อนเก่า (ความเห็นส่วนตัวนะคะ)

ตั้งปณิธาน มิถุนายน 2557 จะลองเลิกใช้ FB คะ
จริงๆ แล้วก่อนจะมีมันเราก็อยู่ได้ เนอะ :)

Oh ! เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าครับ คุณหมอบางเวลา ป. ;)...

เนอะด้วยครับ ;)...

อืม ! น่าคิดค่ะ  แต่ยังไม่ถึงขั้นทุกข์ซะทีเดียว  แต่บางครั้งต้องยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า อาจมีสภาวะที่ไม่ได้ดั่งใจ "บ้าง" หากมองในมุมกลับกัน Facebook ก็มีประโยชน์อยู่บ้าง  เป็นอีกช่องทางที่ทำให้รู้ว่า ปัญหาของลูกศิษย์คืออะไร บางทีทะเลาะกันใน FB แล้วมาต่อกันข้างนอกก็มี  บางรายพอปรามได้ถือว่าโชคดีที่ไปพบต้นตอคู่ศึกวันทรงชัยซะก่อน ไม่งั้นแอนตาซิลคงได้แจกไปหลายร้อย

ขอบคุณทัศนะจากคุณครู Wahoo_KrooKay ;)...

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท