ปัญหาสังคมในปัจจุบันนั้นนับวันยิ่งดูซับซ้อน สับสนและยากเกินกว่าที่จะแก้ไข
ปัญหาต่าง ๆ เหล่านั้นทั้งในอดีต ปัจจุบันและอนาคตมีต้นเหตุที่เกิดจากปัจจัยต่าง ๆ มากมาย
และปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาสังคมในปัจจุบันนั้น ก็คือ หลาย ๆ คนในหลาย ๆ ช่วงอายุกำลังตกอยู่ในสภาวะ "ขาดความรักแท้ (Non-Actually Love Syndrome : NALS)"
ความรักแท้ที่ตัวกระผมเองขออนุญาตกล่าวถึงและนิยามไว้นั้นนั่นก็คือ "ความรักจากพ่อและแม่แบบใกล้ชิดเป็นระยะเวลานาน"
จากการเปลี่ยนแปลงไปของวิถีการดำเนินชีวิตของคนไทยในสังคม ประกอบกับการพัฒนาประเทศ เศรษฐกิจและสังคมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เป็นเหตุที่ส่งผลทำให้วิถีชีวิตของคนไทย จากเดิมที่อยู่กันเป็นแบบครอบครัวใหญ่ เปลี่ยนแปลงมาเป็นครอบครัวแบบเดี่ยวมากขึ้น
ประกอบกับการพัฒนาเศรษฐกิจรวมศูนย์ซึ่งทำให้ความเจริญกระจุกตัวตามหัวเมืองใหญ่ ๆ และจังหวัดสำคัญตามภาคต่าง ๆ ทำให้มีการอพยพเคลื่อนย้ายแรงงานจากท้องถิ่นเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอพยพและเคลื่อนย้ายของเด็กและเยาวชนที่อยู่ภายใต้ชื่อของนักเรียนและนักศึกษา
การมีชีวิตและการเจริญเติบโตนั้น จะให้สมบูรณ์ได้ในชีวิตของคนเราทุกคนจะต้องมีการเรียนรู้ และระบบการเรียนรู้แบบธรรมชาติตามรูปแบบหรือวิถีที่สำคัญที่สุดก็คือ การถ่ายทอด ผ่องถ่ายรูปแบบชีวิตจากพ่อและแม่สู่ลูก ถ่ายทอดกันเป็นทอด ๆ ทั้งภาษา วิถีชีวิต ประเพณี วัฒนธรรม ความรู้ ปัญญา ซึ่งการถ่ายถอดนั้นเป็นการถ่ายทอดที่อยู่บนพื้นฐานของความรักซึ่งเป็นความรักอันบริสุทธิ์และประเสริฐที่สุดเหนือกว่าความรักอื่นใด เป็นการถ่ายทอดที่มีเหตุและมีผล โดยมิมีผลประโยชน์อื่นใดมาเคลือบแคลงแอบแฝงนอกจากความรักแท้แต่เพียงอย่างเดียว
โดยเมื่อรูปแบบการดำเนินชีวิตของคนส่วนใหญ่ในสังคม ตั้งแต่ชีวิตวัยเด็ก ๆ แบเบาะ ขาดความสัมพันธ์และประสบกับสภาวะ NALS นี้แล้ว ก็จะทำให้รูปแบบพันธุกรรมความรักในสังคมเกิดปัญหาขึ้นมาอย่างทันทีทันใด
ทุกอย่างเป็นวัฏจักร หมุนเวียน เปลี่ยนไป ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก
เมื่อเริ่มเข้าอนุบาล หรือประถมศึกษา ด้วยความบีบรัดทางเศรษฐกิจและแรงบีบต่าง ๆ จากสังคม เด็กหลาย ๆ คนอาจจะต้องอยู่กับ "พี่เลี้ยง" และดื่มนมจากขวดแทนที่จะเป็นน้ำนมแม่ ช่วงชีวิตแรกของคนเรานั้นเป็นช่วงชีวิตที่สำคัญที่สุด
อีกหลาย ๆ คนมีชีวิตอยู่ใน Nursery ตั้งแต่วัยสองถึงสามขวบ หรืออาจจะเข้าสู่รูปแบบการฝากเลี้ยงนอกระบบตั้งแต่หมดระยะเวลาลาคลอดตามกฎหมายกำหนด
หรือหลาย ๆ คนอาจจะต้องมีชีวิตอยู่ในโรงเรียนประจำ แปดเดือนกับโรงเรียน มีแค่ 4 เดือนเท่านั้นที่จะได้สัมผัสกับความรักแท้ หรืออาจจะน้อยลงถ้ามีการเรียนพิเศษ เพื่อแข่งขันในการสร้างพื้นฐานเพื่อเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย
เด็กอีกหลาย ๆ คนอาจจะการแข่งขันทางด้านการศึกษาและการประกอบอาชีพในอนาคต การส่งเด็กเข้าไปเรียนในโรงเรียนใหญ่ ๆ ในกรุงเทพฯและจังหวัดที่มีชื่อเสียง โดยใช้ชีวิตอยู่กับญาติ หอพักปิดและหอพักเปิด
และโดยเฉพาะในช่วงหัวเลี้ยงหัวต่อของชีวิต "วัยรุ่น" ในช่วง 4 ปีของการเรียนมหาวิทยาลัย สภาวะ NALS นี้เป็นช่วงที่โรคนี้เกิดขึ้นอย่างรุนแรงมากที่สุด
เมื่อการใช้ชีวิตและดำเนินชีวิตที่ต้องอาศัยอยู่แบบตัวคนเดียวภายในหอพักทั้งในและนอกมหาวิทยาลัย เมื่อเกิดความเหงา ซึมเศร้า ปัญหาทั้งการเรียนและสภาพรอบด้าน ธรรมชาติของคนเราก็จะวิ่งเข้าหา "ความรัก" แต่ความรักที่ได้กลับมานั้นก็จะเป็นความรักเทียมหรือความรักที่แอบแฝงด้วยผลประโยชน์ หรืออาจจะเป็นความรักที่ได้จากผู้ประสบสภาวะ NALS เช่นเดียวกัน การได้ความรักและการเติมเต็มสิ่งที่ขาดเกิดขึ้นคู่แล้วคู่เล่า ที่นำมาซึ่งปัญหาสังคมต่าง ๆ มากมาย
เมื่อเรียนจบก็เข้าสู่สภาวะการแข่งขันทางด้านตลาดแรงงาน ตลาดที่อยู่ในมือของนายจ้าง ซึ่งจะต้องแข่งขันกับบัณฑิตหรือแรงงานต่าง ๆ จากทั่วประเทศ ทุกคนก็มุ่งหวังที่จะเข้าสู่บางกอกหรือนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่
เมื่อทำงานไปสักพัก หลาย ๆ คนก็ได้เริ่มพบกับคู่ครอง แต่งงาน และมีลูก ทั้งงาน เงิน และที่พักอาศัย อาจจะไม่เอื้ออำนวยกับชีวิตเล็ก ๆ
ดังนั้นเด็ก ๆ ถูกนำไปฝากตากับยายเลี้ยงที่บ้าน โดยพ่อและแม่ทำงานอยู่ในโรงงานอุตสาหกรรมอยู่ในเมืองใหญ่ ซึ่งพ่อและแม่ที่ทำงานอยู่ในโรงงานอุตสาหกรรมนั้นก็ใช้ชีวิตอยู่แบบครอบครัวเดี่ยว ซึ่งอาจจะส่งผลทำให้การดำเนินชีวิตคู่นั้นระหองระแหงนำไปสู่การแยกทางกันมากขึ้นตามสถิติต่าง ๆ ที่พบอยู่ในปัจจุบัน
สภาวะขาดความรักแท้ (NALS) นี้เกิดขึ้นเป็นวัฏจักร
บางชีวิตประสบกับสภาวะตั้งแต่วัยเด็ก บางคนประสบกับชีวิตในช่วงวัยรุ่น บางคนประสบในช่วงเริ่มทำงาน บางคนประสบในช่วงการแต่งงานแล้วแยกครอบครัว
แล้วในช่วงชีวิตใดล่ะ เราถึงจะมีโอกาสสัมผัสกับ "ความรักแท้แบบใกล้ชิดเป็นระยะเวลานาน"
ถ้าชีวิตถูกห่อหุ้มด้วยความรักแท้ ชีวิตก็จะแข็งแรง
ถ้าชีวิตดำเนินอยู่บนความรักแท้ ชีวิตก็จะแข็งแกร่ง
ถ้าชีวิตมีความรักแท้คอยทะนุถนอมและประคับประคอง ชีวิตก็จะยิ่งแข็งแรง
ถ้าทุกชีวิตได้ให้และได้มีความรักแท้ ทุกชีวิตและสรรพสิ่งในโลกนี้ก็จะสวยงามและมีแต่ความศานติสุข
ผมขอชื่นชมคุณเขียนมีเหตุผลดีน่าฟังครับ
ในมุมของผมมองว่า...รักแท้คือรักตนเอง...
จึงมีคำกล่าวว่า ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน...
จบอย่างสวยสดงดงาม และสมบูรณ์แบบค่ะ ขอชื่นชมด้วยคนค่ะ
ชอบคำถามทิ้งท้าย...แล้วในช่วงชีวิตใดล่ะ เราถึงจะมีโอกาสสัมผัสกับ "ความรักแท้แบบใกล้ชิดเป็นระยะเวลานาน"
นั่นสิคะ...คงต้องหาคำตอบ ทำให้ฉกคิดไปอีกว่า หากเราได้รู้ว่า "ความรักแท้แบบใกล้ชิดเป็นเวลานาน" ช่วงวัยใดคนต้องการมากที่สุด ซึ่งที่แน่ ๆ คนมีความแตกต่างกันในความต้องการ ทั้งช่วงจังหวะเวลา ปริมาณความมากน้อย แล้วช่วงวัยใดละที่คนเราต้องการ "ความรักแท้แบบใกล้ชิดเป็นระยะเวลานาน" มากที่สุด เมื่อได้คำตอบ...เราน่าจะหยิบยื่นให้เขาตามช่วงวัยนั้น เพราะมองว่าทุกคนต่างมีภาระด้วยกันทั้งสิ้น เพื่อปากเพื่อท้อง เพื่อสังคม เพื่อ......อะไรหลาย ๆ อย่าง จึงทำให้สังคมขาดความรักลงทุก ๆ วัน
ทดท้อใจจัง...ฮ้าย!! คงต้องช่วย ๆ กันแก้นะคะ ขอบคุณค่ะสำหรับบันทึกดี ๆ อีกแล้วครับท่าน
ได้เข้ามาอ่านบทความของคุณด้วยความตั้งใจที่ตอบขอบคุณที่แวะเข้ามาเยี่ยมชมบ๊อกของ PR KPRU. พอได้อ่านแล้วมีความรู้สึกว่าผู้เขียนน่าจะเป็นผู้ท่านประสบการณ์คือมองเห็นความผันแปรแห่งสัจธรรมมามากกว่ารูปที่ขึ้นโพสไว้ ขอชื่นชมในมุมมองและวิธีการนำเสนอ ต่อไปคงต้องแวะเข้ามาบ่อยๆ
อ้อ... แล้วอย่าลืมลองอ่านบทความเรื่องเล่าจากต่างแดนที่เรานำมาลงให้อ่านกันนะคะเป็นเรื่องแบบเบาๆ สบายๆ แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงวิถีการดำเนินชีวิตของเพื่อนบ้านเรา บางทีอ่านแล้วอาจจะยังอมยิ้มไปด้วยก็ได้
แม่พลอย
PR KPRU.