เที่ยวฝรั่งเศสและเนเธอร์แลนด์ (๓)

วันที่ ๒๑-๒๖ กันยายน ๒๕๔๙

เช้าวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๔๙ เราไม่ได้ออกไปไหน เก็บข้าวของทั้งหมดใส่กระเป๋าเดินทาง กระเป๋ายังคงมีคนละ ๑ ใบ แต่หนักกว่าเดิม เพราะมีขนมและของฝากต่างๆ มาเพิ่มน้ำหนัก ใกล้เที่ยงเราออกเดินทางจากโรงแรมที่พัก ขึ้นรถราง ๒ ต่อไปที่สถานีรถไฟ Nantes เพื่อเดินทางกลับมาที่ Paris เมื่อถึงสถานีรถไฟ เห็นมีคนจำนวนมากต่อแถวยาวเหยียด สงสัยว่าเขาทำอะไรกัน มารู้ภายหลังว่าเขาต่อแถวซื้อตั๋วรถไฟ TGV ซึ่งลดราคาพิเศษในโอกาสครบรอบกี่ปีจำไม่ได้แล้ว (มาถึงปารีสก็พบว่าเขามีการจัดงานฉลองด้วย)

รถไฟออกตรงเวลา ๑๓.๐๐ น.แต่รู้สึกว่าวิ่งช้ากว่าขามา กว่าจะถึงปารีสก็ ๑๖.๐๐ น.ไปแล้ว หลานชายส่งรถตู้ของคุณอ๊อดมารับและไปส่งที่ service apartment ที่เช่าไว้แถบ Avenue des Champs-Elysees เจ้าหน้าที่ของ ททท.เอากุญแจห้องมาให้ ที่พักมีครัวพร้อม หลานชายเตรียมข้าวสาร อาหารแห้ง เครื่องปรุง น้ำดื่ม และของใช้จำเป็นต่างๆ ไว้ให้พร้อม หลังเข้าที่พักเรียบร้อยแล้ว หลานชายมาพาไปซื้อของเพิ่มเติมที่ supermarket ใกล้ๆ แล้วไปรับประทานอาหารที่ร้านจีนในย่านนั้น

กลับถึงที่พักเก็บข้าวของเรียบร้อย  เป็นเวลาหัวค่ำแต่ยังไม่มืด (ที่ฝรั่งเศส ๒๐.๓๐ น.ก็ยังไม่มืด) เราจึงเดินไปชมประตูชัย Arc de Triomphe มีนักท่องเที่ยวไปถ่ายรูปกันเยอะ บางรายต้องการมุมดีๆ ก็ไปตั้งท่าอยู่กลางถนน ผู้เดินทางโดยรถยนต์ที่ผ่านไป-มา เปิดกระจกรถมองดูก็มี ประตูชัยดูสวยงามและยิ่งใหญ่ สมเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้ ชัยชนะ และเสรีภาพของฝรั่งเศส

ประตูชัย ช่วงค่ำ

วันที่ ๒๒ กันยายน หลานชายทำหน้าที่เป็น coach ในการใช้รถไฟใต้ดิน พาไปสถานี Paris Nords ซึ่งเราจะต้องไปขึ้นรถไฟ Thalys ไปที่ Rotterdam ประเทศเนเธอร์แลนด์ในวันที่ ๒๖ กันยายน กว่าจะรู้ว่าเส้นทางไหนง่ายและสะดวกที่สุด หลานชายได้ทดลองใช้เส้นทางนั้นทางนี้มาแล้ว พาไปดูชานชลารถไฟด้วย กลับมาแวะที่ office ของ ททท. เราได้ check และส่ง e-mail กันที่นี่ เมื่อเสร็จธุระกันแล้ว หลานชายพานั่งรถขับชมเมืองปารีส แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ คุยกันเกี่ยวกับกฎจราจร กว่าหลานชายจะสอบใบขับขี่ของที่นี่ได้ เสียเงินเรียนขับรถใหม่ไปเยอะมาก เวลาสอบเพียงแต่เราไม่มองกระจกข้างกระจกหลังเวลาจะเปลี่ยนเลนหรือจะหยุดให้เขาเห็นชัดๆ ก็สอบตกแล้ว วันนี้ไปรับประทานอาหารกลางวันที่ร้านไทยที่เขต ๑๓ ที่เปรียบเหมือนไชน่าทาวน์ มีของไทยๆ ขาย ทุเรียนก็มี

ขากลับเราขอให้หลานส่งที่ Musee du Lourve คนเยอะแต่ไม่ต้องเข้าคิวยาว ซื้อบัตรเข้าชมคนละ ๘.๕๐ ยูโร จริงๆ ในวันนี้ซึ่งเป็นวันศุกร์ หลัง ๑๘ น.ราคาตั๋วจะถูกลงด้วย เราเริ่มถ่ายภาพกันตั้งแต่ยังอยู่นอกอาคารที่ซุ้มประตูที่กั้นระหว่างพิพิธภัณฑ์และสวน Jardin des Tuileries เมื่อเข้าชมภายในอาคารมีห้องเยอะมาก เราเลือกชมบางห้องเท่านั้น

 

 

ความสวยงามของห้องในพระราชวัง

มีภาพวาดจำนวนมากเกี่ยวกับศาสนา กษัตริย์ และสงคราม ที่ต้องไปชมคือภาพวาด Monalisa รูปปั้น Venus de Milo ซึ่งเป็นตัวแทนความงามของผู้หญิง รูปปั้นกรีก Winged Victory of Samothrace ลักษณะเป็นผู้หญิงยืนแอ่นอกกางแขนผายไปข้างหลัง ใช้ประดับที่หัวเรือรบ เชื่อกันว่าเป็นสัญลักษณ์ที่นำชัยชนะมาให้ ที่ Louvre เราได้ชมห้องต่างๆ หลายห้อง ล้วนแต่สวยงามทั้งนั้น เดินกันจนเมื่อยแล้วเมื่อยอีก จดจำไม่ไหวว่าได้ดูอะไรมาแล้วบ้าง ภาพรวมๆ คือความสวยงาม ความยิ่งใหญ่อลังการ

 

รูปปั้น Venus

Winged Victory of Samothrace เสียดายที่ไม่มีศีรษะให้เห็นแล้ว

เราออกจาก Lourve พร้อมกับคิดว่าโอกาสหลังจะกลับมาอีก มองจากภายนอกเห็นอาคารใหญ่โต มีพื้นที่เยอะมาก คนสมัยก่อนสร้างวังได้ยิ่งใหญ่เหลือเกิน ด้านนอกมีปิรามิดแก้วสมัยใหม่ที่ถูกสร้างขึ้น (โดยวิศวกรชาวจีน) เป็นทางเข้า-ออก ดูออกจะขัดกันกับอาคารที่มีอยู่เดิมเหมือนกัน เราเดินชมสวน Jardin des Tuileries ที่มีเนื้อที่กว้างขวางออกมาที่ Place de la Concorde ที่เคยใช้เป็นสถานที่ฉลองพิธีอภิเษกสมรสและเป็นลานประหารด้วยกิโยติน ยืนอยู่บริเวณนี้แล้วรู้สึกถึงความน่ากลัวของลานประหาร

 

ด้านหน้าปิรามิดแก้ว

วันที่ ๒๓ กันยายน ช่วงเช้าเราไปเที่ยวชมโบสถ์ Sacre-Coeur ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของเมืองปารีส ก่อนเดินถึงโบสถ์เราผ่านร้านขายของที่ระลึกบน Montmartre ลานศิลปิน Place du Tertre แต่ไม่ได้ซื้ออะไร

 

 

โบสถ์ Sacre-Coeur จุดสูงสุดของเมืองปารีส

ต่อไปที่โบสถ์ Cathedrale Notre-Dame ที่สร้างมาตั้งแต่ ค.ศ. ๑๑๖๓ ใช้เวลาสร้างยาวนานมาก ภายในตกแต่งด้วยกระจกสีเป็นภาพสวยงามมาก โบสถ์แต่ละแห่งมีคนต่อคิวยาวเพื่อขึ้นไปบนหอคอย ช่วงบ่ายไปเที่ยวที่หอ Eiffel มีคนต่อคิวยาวมากเพื่อขึ้นไปสูงๆ เช่นกัน น่าชื่นชมความอดทนของนักท่องเที่ยวเหล่านี้ เราไม่สู้ขอดูจากข้างล่างก็แล้วกัน

 

ด้านหน้าโบสถ์ Cathedrale Notre-Dame

 

หอ Eiffel

 

วัลลา ตันตโยทัย