ผมห่างหายไปนานมากครับ พร้อมกับกาลเวลาที่หมุนผ่านเรื่อยๆ...ปฏิทินที่บอกวันเดือนปีอย่างซื่อสัตย์...เพียงแต่ตัวผมไม่ซื่อสัตย์...ไม่อยากอ้างว่างานมากมาย...หรือสังขารที่ไม่เอื้ออำนวยในช่วงเวลานี้
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา...ฝนตกให้พอชุ่มเย็น...แต่สักพักก็อบอ้าว...อากาศเริ่มเปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนทุกๆ ปี...แต่ก็เป็นสัจธรรม เพราะชีวิตของผมก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ...
แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงในช่วงที่เริ่มเขียนบันทึกที่โกทูโนว์...ผมต้องเข้ามาอ่านบันทึกของกัลยาณมิตรเสมอๆ...ทุกๆ วัน ถ้าอยู่ในพื้นที่ที่มีสัญญาณให้เข้ามาได้....ผมชอบอ่านบันทึกของผู้มั่นคงในพื้นที่นี้ และผู้มาเยือนใหม่ๆ...มุมมองความคิดและซอกลึกของหัวใจของทุกท่านไม่เหมือนกัน...เป็นเสน่ห์ของที่นี้อย่างบรรยายด้วยตัวอักษรไม่ได้...
และความอบอุ่นที่เกิดขึ้นในใจของผมเสมอๆ เมื่อสติจดจ่อในดินแดนแห่งนี้ คือ ทุกท่านมีจิตใจดี และมีจิตใจงาม...ถ้าผมท้อ...ผมเข้ามาอ่านบันทึกของตนเอง...และบันทึกของผู้อื่น....ผมได้รับแรงบันดาลใจให้ผมเดินทาง...
ผมชอบบอกใครๆ เสมอๆ ว่า...เป็น “การเดินทางที่แสนพิเศษ” ของผม
และเมื่อมีกัลยาณมิตรที่ผมรักและติดตามบันทึก แสดงความจำนงว่า “ขอเบรก” หรือ “จะไม่เขียนที่นี้แล้ว” ความรู้สึกแรกของผม คือ การแอบเศร้าและแอบเหงา...คนเดียว...คนเดียว...ในใจอยากเขียนเมลล์ส่งตรงว่า “อยู่ต่อได้ไหม?”
แต่ทุกคนบนโลกต่างมีความต้องการอิสรเสรี...ไม่มีใครอยากเป็น “นกน้อยในกรงทอง” หรือ “ล่ามโซ่ตรวนทอง”...กักขังอะไรบนโลก...คงมีเครื่องมือกักขังที่พิเศษที่สามารถกักขังได้แน่นอน
ที่แน่นอน...กักขังและพันธนาการร่างกายร้อยรอบพันรอบ...แต่เพียงเศษเสี้ยวใจฤาจะสามารถทำได้...
ผมเข้าใจและเคารพในทางเลือกและการตัดสินใจของผม....
และแน่นอนเช่นกัน ผมเข้าใจของความรู้สึกของลูกชาย “ทิมดาบ”
เที่ยงกว่าๆ ของวันพฤหัสฯ เมื่อวาน...ทิมดาบต้องเลิกเรียนเร็วกว่าเวลา...เลิกก่อนเที่ยงวัน... เพราะเป็นวันแห่งความรู้คุณค่า และกตัญญู คือ “วันครู”
ผมตกปากรับคำกับทิมดาบว่า จะไปรับลูกเที่ยงตรง...เพราะไม่ได้ห่อข้าวกลางวัน...จะพาไปกินข้าวเที่ยง...แล้วจะให้ไปรับใช้ย่าเล็กๆ น้อยๆ...เป็นเพื่อนย่า...พูดคุยตามประสาย่าและหลาน
แต่ผมมารับทิมดาบ เกือบบ่ายโมงกว่าๆ...เมื่อผมเข้าไปในโรงเรียน และที่นัดหมายประจำๆ ของผมและลูก คือ ต้นชมพู่หน้าตึกเรียน ซึ่งอยู่ติดประตูด้านขวาของโรงเรียน
โรงเรียนเงียบเหงาวังเวง...เพราะผู้ปกครองคงต้องทยอยมารับบุตรหลาน
ทิมดาบ...หายไปไหนนะ? เป็นความรู้สึกแรกที่เกิดในใจ ผมกระวนกระวาย และเอาถ้อยคำว่า “ผมเป็นผู้ผิด” ไว้ในใจด้วย
ผมตะโกนดังๆ...เรียกชื่อลูก...แต่เรียกชื่อได้สามจบ...ทิมดาบก็ลอดกรงเหล็กออกมา...เสื้อผ้ามอมแมม
ทิมดาบไม่สนใจผมเลย...เดินผ่านผมไป...และไปหยุดรอที่รถ...พอไปนั่งที่รถ ผมถามลูกหลายคำหลายประโยค เช่น สนุกไหมลูก ไหว้ครูเป็นไงบ้าง ขอโทษที่ผมรับช้า หิวข้าวมากไหม?
ทิมดาบนั่งนิ่ง ไม่ตอบสักคำ มองออกนอกหน้าต่างรถ....จนกระทั่งถึงร้านข้าว...ผมสั่งข้าวมันไก่กรอบให้ทิมดาบ เพราะลูกชอบทาน
ผมเห็นบรรยายเงียบสงัด...ทำไงดีให้ลูกพูดอะไรออกมาบ้าง...ผมเลยขอให้วิธีนี้กับทิมดาบดีกว่า...ผมเอากระดาษแผ่นเล็กๆ และปากกาที่ใช้สั่งอาหารที่วางบนโต๊ะอาหาร...
ผมขอร้องให้ทิมดาบตอบ 7 คำถามสั้นๆ บนกระดาษแผ่นเล็กๆ...ดูท่าทางของลูกยินยอม...หลังจากได้ดื่มน้ำเย็นและอมก้อนน้ำเย็น
เริ่มเลยนะทิมดาบ....คำตอบทิมดาบใน (...........)
1- สัตว์ที่เกลียด (หนอน)
2- ของ 2 สิ่ง (แก้วน้ำ)... คล้าย หรือ เหมือน (เหมือน)
3- เลือกคบเพื่อน.... ที่หน้าตา หรือรูปร่าง (หน้าตา)
4- เห็นใครคนหนึ่ง เดินแก้ผ้ากลางตลาดสด... บ้าหรือประสาท (บ้า)
5- ลิงหรือคน... ที่มีกระดูกสันหลังตั้งฉากโลกมากที่สุด (ลิง)
6- 2+2... เป็นหรือคือ (เป็น)
7-เขียนชื่อของคุณเอง (ทิมดาบ)
เมื่อผมเฉลยคำตอบให้ทิมดาบ...ทิมดาบอมยิ้มอย่างอารมณ์ดี...แววตามีประกายสดใส...อารมณ์ดี...และดูเหมือนทิมดาบจะหายโกรธผมแล้ว....
ผมเฉลยคำตอบ...โดย
ให้ทิมดาบอ่านคำตอบของตนเอง
ไล่จากข้อ 7 6 5 4 3 2 และ 1 ครับ
พ่อลูกผูกพัน อิ อิ
น้องทิมดาบโตเร็วจังเลยนะครับ
อีกหน่อยก็คงจะสร้างโลกส่วนตัวขึ้นมาเองได้แล้วล่ะ
โลกซึ่งพ่อแม่หรือใครๆ ก็ไม่สามารถเข้าถึงได้(ตามประสาวัยรุ่น) 555
เข้าใจในความรู้สึกทั้งผู้เป็นพ่อและคนเป็นลูก ในช่วงเวลาที่เงียบงัน
และชื่นชมวิธีของคุณหมอที่เอาชนะความเงียบนั้น....
ดีจังค่ะ...หมั่นใส่ใจความรู้สึกต่อกันด้วยวิธีดีๆเช่นนี้
ป้าขอ... ขำด้วยคน
7 6 5 4 3 2 1 วันหลังป้าจะไม้ให้ใครหลอกอีกล่ะ ทิบดาบหลานตัวน้อยเอ้ย
5555
...แวะมาอ่านและก็ยิ้ม...ขำ...เป็นเรื่องที่น่ารักดี...
เด็ดจังเลยครับมุกนี้ ว่าแต่เอาไปใช้กับรุ่นแม่ของทิมดาบน้อย จะได้ผลมั๊ยครับ