บันทึกนี้ตั้งใจอย่างยิ่งที่จะขอกล่าวคำขอบพระคุณภาคี สสส. ทุกท่านที่เข้าร่วมกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้หลักสูตรการพัฒนาตนเองจากภายในด้วยศาสตร์นพลักษณ์และ Satir's Self Mandala และขอบพระคุณ สคส. และ สสส. ที่ให้โอกาสทีมงาน (ดร. ยุวนุช ทินนะลักษณ์และข้าพเจ้า) ร่วมทำงานในครั้งนี้
หลักสูตรนี้จัดขึ้นเมื่อต้นเดือนเมษายน ๒๕๕๖ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคำกล่าวที่เป็นกำลังใจในการทำงานของท่านอาจารย์ สุรเชษฐ เวชชพิทักษ์ ดังต่อไปนี้ค่ะ
"ได้แสดงความเห็นในที่ประชุมคณะกรรมการโครงการจัดตั้งสถาบันฝึกอบรมนักจัดการสังคม (สคส. - สสส.) เมื่อสัปดาห์ก่อน เรื่อง การอบรมว่า
๑. คนทำงานจัดการสังคม ควรสามารถจัดการตนเองได้ทั้งชีวิตทางกายภาพและจิตวิญญาณ จัดการตนเองได้ดีจึงจะช่วยคนอื่นได้ดี หลักสูตรนี้จึงควรจัดให้ทุกคน (ที่สนใจและเต็มใจเข้า)
๒. หลักสูตรลักษณะนี้ควรจัดต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้เข้าร่วมได้มีเวทีมาแลกเปลียนเรียนรู้ประสบการณ์การพัฒนาตนจากภายใน วิทยากรได้สอนให้สังเกตลักษณ์ตนเอง และ mandala เพื่อเป็นแนวทางการพัฒนาตนให้แล้ว
๓. ได้ชื่นชมวิทยากรครั้งนี้ว่า qualify เวลาเท่าไรก็เลือกเนื้อหาและกิจกรรมให้เหมาะสมกับผู้เข้าร่วมได้ และมีความ "นิ่ง" การฝึกที่จะเป็นวิทยากรในเรื่องแบบนี้ได้ผ่านการฝึกพัฒนาตนเอง รู้จักตนเอง (self-actualization) มาอย่างลึกซึ้งก่อน ไม่ได้มีแต่ด้านเทคนิคการจัดกระบวนการอย่างเดียว"
ขอขอบพระคุณค่ะ
ทันทีที่ได้รับความเห็นจากท่านอาจารย์สุรเชษฐ ข้าพเจ้าก็ได้ส่งอีเมลเรียนให้อาจารย์ ดร. ยุวนุช ทินนะลักษณ์ ทีมงานวิทยากร/กระบวนการทราบ และเราทั้งสองคนก็รู้สึกปิติและมีกำลังใจในการทำงานยิ่งขึ้น พร้อมใจร่วมเดินบนเส้นทางสายนี้ต่อไปอย่างไม่ย่อท้อค่ะ แม้มีงานในหน้าที่อื่น ๆ ที่ต้องรับผิดชอบ เราก็จะถือว่างานที่ทำอยู่นี้คือการเติมพลังทางจิตวิญญาณให้เราด้วยเช่นกันค่ะ
Action After Review จากผู้ร่วมกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากภาคีทุกท่านหลังเสร็จสิ้นกิจกรรมในแต่ละวันก็ดี และความเห็นของท่านอาจารย์สุรเชษฐก็ดี คือแรงบันดาลใจเสริมแรงที่ปรารถนาจะทำงาน "รู้ตัวเพื่อการพัฒนาจิต" ซึ่งได้เริ่มต้นอย่างเป็นจริงเป็นจริงเมื่อ ๓ ปีที่ผ่านมานี้เอง ช่วงนี้จึงเป็นช่วงที่เราเติบโตเรียนรู้ไปด้วยกัน
เรียนรู้ในทุกอริยาบถ
ข้าพเจ้าศึกษาด้านนพลักษณ์มาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๔๑ จากพระอาจารย์สันติกโร สมัยที่ท่านยังบวชเป็นพระภิกษุ ในช่วงแรกหลายครั้ง ก่อนที่ท่านจะไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศ และเดินทางมาประเทศไทยปีละครั้ง ซึ่งข้าพเจ้าก็ได้มีโอกาสอบรมนพลักษณ์กับการปฏิบัติธรรมจากท่านในระยะ ๔ ปีให้หลังมานี้อย่างต่อเนื่อง แต่ทั้งนี้ ตลอดเวลาที่ผ่านมาสิบกว่าปี สิ่งที่ข้าพเจ้าได้หมั่นศึกษาสม่ำเสมอคือ "การเป็นสังเกตการณ์ภายใน" ดังที่ท่านอาจารย์สุรเชษฐได้สะท้อนผ่าน AAR
หากเรามองไม่เห็นตนเอง เราคงถ่ายทอดให้ผู้อื่นไม่ได้ นี่คือสิ่งที่ข้าพเจ้าบอกตนเองเสมอมาก่อนที่จะเข้าสู่การทำหน้าที่วิทยากร/กระบวนกร โดยนำนพลักษณ์ (Enneagram) มาบูรณาการกับ Human KM เพื่อให้การจัดกระบวนการแลกเปลี่่ยนเรียนรู้ได้สะท้อนตัวตนออกมาจากการทำงานร่วมกับผู้อื่น
ในความเป็นจริงก่อนเริ่มทำกิจกรรม ข้าพเจ้าขอสารภาพว่าทันทีที่รับทราบจากอาจารย์อ้อม (Before Action Review) ว่าภาคี สสส. ที่มาร่วมมีท่านใดบ้าง มีรายชื่อและประวัติมาเรียบร้อย ข้าพเจ้าก็ประหม่าอยู่เหมือนกัน อาศัยสัญชาตญาณที่เราไม่ค่อยได้ใช้สักเท่าไหร่ (เพราะเป็นคนศูนย์สมอง) บอกตนเองว่าประสบการณ์การเป็นนักสังเกตการณ์การภายใน และความบริสุทธิ์ใจที่เราจะมุ่งมั่นเป็นนักสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นมองเห็นตนเอง จะนำพาให้เราสื่อสารในสิ่งที่เราอยากบอกให้สำเร็จลุล่วงด้วยดี
การถ่ายทอดอะไรก็แล้วแต่หากมาจากการปฏิบัติ ให้พูดที่ไหน ตอนไหน ก็พูดได้ ความพร้อมคือสติของเรา และการถ่ายทอดในลักษณะเอื้ออำนวยให้เกิดกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เช่นนี้ จะขาดสาระสำคัญที่เป็นหัวใจเลยไม่ได้ นั่นคือ "ลักษณะของกลุ่ม" ที่ท่านอาจารย์สุรเชษฐเองก็ได้บอกว่าต้องมีความสนใจและเต็มใจ เนื่องจากเวทีลักษณะนี้คือการเปิดปมและเปิดเผยตนเองอย่างกล้าหาญ เรียนรู้ที่จะใส่ใจในข้ออ่อนด้อย และพรมแดนที่เรามองข้ามไป หากลักษณะกลุ่มที่มีผู้เต็มใจกล้าหาญที่จะแบ่งปันผลัดกันเป็นครูให้แก่กัน ก็จะสามารถเก็บเกี่ยว ต่อยอดกันและกันได้อย่างมีพลัง
ความเป็นกัลยาณมิตร และจิตโยนิโสมนสิการ
คือบันไดแห่งการพัฒนาจิตตนร่วมกันค่ะ
สุดท้ายนี้ทีมงาน (ท่านอาจารย์ ดร. ยุวนุชและข้าพเจ้า) ขอกราบพระคุณผู้ที่ให้โอกาสในการทำงาน
และทุกท่านที่ให้เสียงสะท้อนที่เป็นกำลังใจในการทำงานต่อไปค่ะ
---------------------------------------------------------------
เคยไปอบรมสัมมนา วันสองวันแรก วิชาการมากจนไม่ค่อยซึมซับรับรู้(หลายคนหลับ คริคริ)
วันสุดท้ายก่อนจาก มีการจัดสถานที่อย่างในบันทึกของอาจารย์นี้ล่ะครับ ทุกคนรู้สึกผ่อนคลาย(หรืออาจจะเพราะจะได้กลับก็ไม่รู้ อิอิ) และรู้สึกเป็นกันเอง ได้นอนกอดหมอน พูดคุยกัน...
และสามารถสรุปและถอดบทเรียนที่ได้จากการเข้าสัมมนาครั้งนั้นอย่างสนุกสนาน
ขอบคุณที่แบ่งปันครับ
ไว้ครั้งหน้าหาก สสส.จัดอีกครั้งนี้ติดงานจริงๆครับ พี่ศิลาสบายดีนะครับ สมัยก่อนสัก 4-5 ปีที่แล้วเราเจอกันที่ พอช. พี่อบรมแก่พวกเราใตนการเขียน G2K สมัยนั้นมีพี่ศิลา พี่เอก พี่หนานเกียรติ (ตอนยังมีชีวิตถ่ายทอดเรื่องราวระหว่างกัน) ตอนนั้นพี่สุทเพเป็นคนประสานงาน...ยังรำลึกถึงพี่และทุกท่านเสมอนะครับ ..เอแต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเห็นพี่เอกที่ G2K เลยครับพี่..
หากมี..โปรแกรม..ช่วงหนาว..สิ้นปี..อยากไปร่วมอีกเจ้าค่ะ..ยายธี
ขอบคุณคุณ พ. ค่ะที่แวะมาเชียร์และมาแชร์ประสบการณ์ หากมีการจัดอบรมสัมมนาที่ไหน จะต้องแนะนำผู้จัดให้เตรียมปูผ้า และแจกหมอนคนละใบให้เราด้วยนะคะ รับรองว่าไม่มีใครเบื่อ เพราะรู้ว่าจะเบื่อ ก็ของีบเสียก่อนดีไหมคะ บรรยากาศที่น่าไว้วางใจ อยู่ที่สถานที่ที่ให้ความอบอุ่นเหมือนเราอยู่บ้านตัวเองด้วยค่ะ ที่เหลือคือความสามารถของวิทยกร/กระบวนกรที่จะดึงดูดให้ผู้ร่วมกิจกรรมมีน้ำหนึ่งใจเดียวที่จะอยากแบ่งปันและเรียนรู้ไปด้วยกันจนจบงาน
จริงแท้ทีเดียวค่ะ ศาสตร์นี้ ผู้เข้าอบรมต้องสนใจและเต็มใจ ...
แม้จะเคยอบรมมาบ้าง เคยอ่านหนังสือมาบ้าง ก็ยังไม่ลึกซึ้งพอที่จะทำความรู้จักภายในของตนเอง ...ขอชื่นชมผู้จัด วิทยากร และขอเป็นกำลังใจให้กับการทำงานเพื่อพัฒนาคนจากภายใน ...
สักวัน คงมีโอกาสได้เข้าร่วมอบรมหลักสูตรเต็มๆ
ใช้แล้วค๊า คุณมะเดื่อ บรรยากาศดี ๆ มีหมอนด้วย เหมือนย้อนกลับไปอยู่สมัยเรียนอนุบาล มีช่วงนอนกลางวันด้วย น่าเรียนเรียนมากเลยค่ะ
ขอบคุณมากคะที่นำมาแบ่งปัน ได้แต่อ่าน อยากสัมผัสบรรยกาศด้วยตัวเองสักครั้ง
ถ้ามีจัดอบรมอีก ช่วยแจ้งด้วยนะคะ
เป็นการอบรมที่ผ่อนคลายสบาย ๆ ได้เรียนรู้ที่จะรู้จักตนเอง
บรรยากาศการอบรมดีมากเลยครับ ฝากคารวะพี่นุชให้ด้วยครับ...