เหตุใดคำถามว่า "ไม่ควรกินอะไร?" จึงสำคัญกว่า "ควรกินอะไร?"


ในระหว่างการอบรมอาจารย์ครั้งหนึ่ง อาจารย์ท่านหนึ่งขอให้ผมแนะนำ "ยาดี" ที่กินแล้วสุขภาพดี (ท่านบอกว่าผมดูแข็งแรง หุ่นดี ผมขอบคุณที่ท่านชม พร้อมตอบว่า ผมเชื่อว่าเรื่องสุขภาพดีของคนยุคปัจจุบัน เกิดจากการตระหนักว่า การหลีกเลี่ยง  "ไม่กินอะไร" สำคัญกว่า "กินอะไร" ส่วน "ยาดี" ที่สุดในความเห็นผมคือ ข้าวกล้อง ที่อุดมไปด้วยไวตามิน แร่ธาตุ โปรตีน ที่ร่างกายต้องการ ถึงจะไม่ครบถ้วนทั้งหมด แต่ก็มากโขทีเดียว ผมกินประมาณครึ่งหนึ่งของอาหารทั้งหมดในแต่ละวัน แล้วก็กินสารพัดผักและผักผลไม้ โดยพยายามกินผักและผลไม้สดด้วย ไม่ใช่ปรุงอย่างเดียว การปรุงก็ใช้วิธีต้ม (ด้วยไฟอ่อน) เป็นหลัก กินผัดผักบ้าง (หลีกเลี่ยงไฟสูง โดยเฉพาะพวก "ผักไฟแดง" ใช้ความร้อนสูง และของทอด) 

การเลี่ยง ลด และ งด ไม่กินบางอย่าง เช่น อาหารที่หวาน (จากน้ำตาลทุกชนิดทั้งฟอกสีให้ขาว น้ำตาลแดงไม่ฟอกสี น้ำตาลเทียมที่ร้ายเข้าไปใหญ่ และ ผลไม้ที่หวานมากก็กินให้น้อยลง)   อาหารมัน (ทั้งจากน้ำมันพืชและน้ำมันสัตว์ ไขมันสัตว์ และอาหารทอดน้ำมันทั้งหลาย)   อาหารเค็ม (ทั้งจากเกลือเค็ม และอาหารใส่ผงชูรสซึ่งเป็น "เกลือจืด")   อาหารรสจัด (เปรี้ยวจัด เผ็ดจัด)   รวมทั้งอาหารที่ใส่สารเคมี เจือสีสังเคราะห์ ใส่สารกันบูด กันเน่า สารรักษาความสด ที่มีอยู่ในอาหารสดและอาหารแห้ง อาหารซอง อาหารกล่อง อาหารกึ่งสำเร็จรูป แทบทุกชนิด โดยเฉพาะพวกเนื้อสัตว์แปรรูป (เช่น ไส้กรอก)   สารเคมีที่โรงงานใส่มาในอาหารเหล่านี้ล้วนมีส่วนทำให้ร่างกายเรา "เสื่อม" ลง ทำให้ป่วยง่าย แก่เร็ว ตายเร็ว 

กินหวานมากๆ ตับอ่อนต้องเหนื่อยมากขึ้นในการผลิตอินซูลินมาควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด จนวันหนึ่งตับอ่อนระโหยโรยแรงทำงานไม่ค่อยไหว ปล่อยให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงอย่างนั้นแหละ เพราะ "เอาไม่อยู่" โรคเบาหวานก็ถามหา อาหารหวานทุกชนิดไม่ว่าหวานซูโคลสจากน้ำตาลทราย (ทั้งฟอกขาวและไม่ฟอกขาว เพียงแต่ฟอกขาวแย่กว่าตรงที่รับเอาสารฟอกขาวแถมเข้าไปด้วย) หรือหวานฟรุคโตสจากผลไม้ เวลาร่างกายจะใช้ล้วนต้องเปลี่ยนเป็นกลูโคสก่อนเสมอ การรับอาหารหวานมากๆ ไม่ว่าจากทางไหนจึงล้วนส่งผลเสียต่อร่างกาย   นักโภชนาการบอกว่า คนที่ไม่ได้ทำงานใช้แรงกายหนักๆ รับน้ำตาลแค่ประมาณ ๖ ช้อนชาต่อวันก็พอแล้ว แต่น้ำอัดลมกระป๋องหนึ่งใส่เข้าไปเกินกว่านั้นมาก มากกว่า ๑๐ ช้อนชาก็มี แม้แต่ในน้ำชาเขียวที่บรรจุขวดขาย (จนคนทำรวยเป็นพันล้าน) ก็รวยจากการใส่น้ำตาลและความหวาน ขวดหนึ่งเกิน ๖ ช้อนชาเหมือนกัน (ผมเชื่อว่าคนติดชาเขียวไม่ได้ติดชาหรอก แต่ "เสพติดความหวาน")   พอคนกลัวความหวานมากๆ เข้า อุตสาหกรรมเครื่องดื่มก็ตอบสนองความกลัวด้วยเครื่องดื่ม "ไม่มีน้ำตาล" (sugar free) ทันที โดยใช้พวกสารเคมีให้ความหวานอย่างอื่นที่ไม่ใช่น้ำตาล ซึ่งนักโภชนาการบางกลุ่มได้ออกมาบอกว่า สารเคมีให้ความหวานแทนน้ำตาลนี้มีพิษสงร้ายกว่าน้ำตาลเสียอีก จะเชื่อหรือไม่เชื่อ ใครที่ยังกินติดอยู่จึงควรพิจารณาว่าจะเลือกพิษจากความหวานแบบไหน   บางคนบอกว่า ใช้ "หญ้าหวาน" สิ แต่ผมว่า "หัดกินไม่ไหวาน" แล้วลิ้นจะปรับสภาพให้สามารถรับรู้รสหวานจากอาหารธรรมชาติ รับรู้รสหวานจากเมล็ดข้าว เมล็ดถั่ว เมล็ดธีญพืชต่างๆ ดีกว่า

กินมันมากๆ ตับและถุงน้ำดีก็ต้องเหนื่อยมากขึ้นจากการทำหน้าที่ผลิตเอนไซม์ (น้ำย่อย) มาย่อยไขมัน นานวันเข้าก็เหนื่อย "เอาไม่อยู่" ปล่อยให้หลุดเข้าไปเกาะตามผนังหลอดเลือดทั้งหลอดเลือดใหญ่และหลอดเลือดฝอย เลือดไหลไม่สะดวก ติดขัด ระดับเบาะๆ ก็ทำให้เกิดอาการชาตามปลายมือปลายเท้า ระดับหนักๆ หากไปตันในสมองก็เป็นอัมพฤก อัมพาต กระทั่งหัวใจวายไปเลย   นอกจากนี้ เมื่อตับขับไขมันไม่ทัน หรือโกดังเก็บสารพิษในตับจนล้นเกิน (เต็มพื้นที่เก็บ) ไขมันก็พอกตับ และอาจเกิดนิ่ว (ไขมันจับตัวเป็นก้อนๆ เม็ดๆ) ในถุงน้ำดี (ถุงเก็บเอนโซม์ย่อยไขมันที่ตับผลิตมาฝากไว้) หรือในท่อน้ำดี (ท่อที่ต่อเชื่อมจากถุงน้ำดีกับลำไส้เล็ก) ไขมันที่พอกตับนานเข้าก็ทำให้ตับแข็ง และกลายเป็นมะเร็งตับในที่สุด   หลายท่านอาจไม่ทราบว่าตับเป็นอวัยวะภายในที่มีความอดทนที่สุด กว่าที่จะแสดงอาการ ส่งสัญญาณว่า "ไม่ไหวแล้ว" ออกมาให้เจ้าของรู้ เขาต้องเสียหายไปแล้วถึง ๘๐ เปอร์เซนต์ ดังจะเห็นได้ว่า คนที่เป็นมะเร็งตับ ขณะตรวจพบส่วนใหญ่มักเป็นขั้นสุดท้ายแล้ว   

กินเค็มมากๆ เซลล์ในร่างกายดูดซึมเกลือเข้าไปมากๆ ก็ต้องดูดซึมน้ำเข้าสู่เซลล์เพื่อเจือจาง ทำให้อวัยวะบวม ตัวบวม ไตก็ต้องทำงานหนักเพื่อขับออก วันหนึ่งสู้ไม่ไหว ไตก็วาย   หัวใจก็ต้องปั๊มเลือดแรงขึ้น (ความดันสูง) นานเข้าก็เป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจ นำไปสู่หัวใจวาย   หลักโภชนาการบอกว่า คนเราต้องการเกลือประมาณ ๒๐๐๐ มิลลิกรัมต่อวัน แต่คนที่กินอาหารสำเร็จรูปทั้งหลายกินเข้าไปมากกว่านั้นวันหนึ่งหลายเท่าตัว

กินสารเคมีที่ผสมกับอาหารเข้าไปมากๆ แม้ร่างกายเราจะฉลาด แยกแยะได้ว่าสิ่งที่ลงมาถึงลำไส้ที่มีหน้าที่ย่อยอาหารให้เป็นโมเลกุลเล็กๆ ที่จะซีมเข้าสู่กระแสเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ โดยเซลล์เม็ดโลหิตทุกเซลล์รับอาหารเข้าไปแล้วต้องไปผ่านตับ ให้ตับตรวจสอบก่อนว่ามีพิษอะไรหรือเปล่า อะไรเป็นอาหาร อะไรไม่ใช่อาหารและต้องกำจัดออก อันไหนที่ไม่ใช่ ตับก็กำจัดหรือขับออกทางลำไส้เป็นอุจจาระ ส่วนพวกของเหลวก็ส่งไปให้ไตขับออกทางปัสสาวะ และทางเหงื่อ(รูขุมขน)   อันไหนขับไม่ได้ ตับก็จะเก็บไว้ไม่ปล่อยให้เข้ากระแสเลือดไปก่อพิษที่อวัยวะต่างๆ ของร่างกาย แต่พื้นที่เก็บสารพิษของตับก็มีจำกัด ถึงจุดหนึ่งก็จำเป็นต้องปล่อยให้ล้นออกไปสร้างความเจ็บไข้ได้ป่วยแก่อวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกาย   ตับที่อ่อนแอลงส่งสัญญาณผ่านผมหงอก หูตึง (หรือกระทั่ง "หูดับเพราะตับไหม้") ตามัว รวมทั้งโรคต่างๆ อีกมากมาย (สัญญาณต่างๆ เหล่านี้มีหลายสาเหตุ ที่เขียนนี้เพียงต้องการชี้ให้เห็นว่า อาจเกิดจาก "ตับไหม้" ก็ได้)

คนที่ไม่ได้ปลูกเองเลี้ยงเองเดี๋ยวนี้ หาอาหารที่ไม่ปนเปื้อนสารเคมียาก โดยเฉพาะคนเมืองที่ต้องพึ่งพิงอาหารสำเร็จรูปหรือกึ่งสำเร็จรูปเป็นหลัก ร่างกายจะเสื่อมเร็ว ป่วยง่าย ตายเร็ว เนื่องจากสัตว์ที่เลี้ยงโดยปราศจากสารเคมีหายาก   เนื้อสัตว์จากแผงหรือชั้นวางตามร้านค้ามักมีสารเร่งการเจริญเติบโต เช่น ไก่ก็เลี้ยงแบบให้โตภายในเวลาเดือนกว่าๆ ก็โตเต็มที่พร้อมส่งโรงเชือด   ลูกวัวเกิดมาไม่กี่สิบกิโล เลี้ยงไม่กี่เดือนเพิ่มเป็นหลายๆ ร้อยกิโลได้ภายในเวลาไม่กี่เดือน  แล้วยังมีสารทำให้สีเนื้อแดงน่ารับประทาน ทำให้ไข่แดงมีสีแดงขึ้น   ใช้โฮโมนทำให้ไก่มีเนื้อหน้าอกใหญ่ขึ้น จนไก่ในฟาร์มเดินไม่เป็น เดินล้ม เดินล้ม เพราะรับน้ำหนักหน้าอกตัวเองไม่ไหว (จากการที่คนชอบกินเนื้อหน้าอกไก่ที่ไม่มีกระดูก) เด็กๆ กินไก่ที่เลี้ยงด้วยวิธีนี้ได้รับโฮโมน(สารเคมีเร่งการเจริญเติบโต) เข้าสู่ร่างกายผ่านเนื้อสัตว์ทางอ้อม เป็นหนุ่มเป็นสาวเร็วขึ้น หน้าอกใหญ่เร็วขึ้น เด็กผู้หญิงก็มีรอบเดือนเร็วขึ้น มีรอบเดือนแบบผิดปกติ บางคนปวดมาก บางคนมามากกว่าสัปดาห์ยังไม่หยุด หรือมาบ้างไม่มาบ้าง ฯลฯ ผู้ใหญ๋ที่เป็นเนื้องอกในมดลูกก็เพิ่มขึ้นมาก ตามหลังประเทศอุตสาหกรรม แถมด้วยมะเร็งเต้านม  สัตว์เลี้ยงระบบฟาร์มยังจำเป็นต้องใช้สารเคมีมาก การเลี้ยงสัตว์แบบผิดธรรมชาติ ขังรวมกันเป็นร้อยเป็นพันตัว ต้องแออัดยัดเยียดกันอยู่ในพื้นที่จำกัด จำเป็นต้องใช้ทั้งวัคซีนป้องกันและยาปฏิชีวนะ รักษาอาการป่วยต่างๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพื่อลดความเสี่ยงจากการตายยกฟาร์ม   แต่กระนั้นก็ยังมีการตายเสมอ ยากที่จะเลี้ยงเป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่นแล้วรอดร้อยเปอร์เซ็นต์   ฟาร์มที่รับผิดชอบต่อผู้บริโภคก็นำซากไปทำลาย ส่วนไม่ไม่รับผิดชอบก็นำไปใส่สารเคมี "ย้อมแมว" ให้เนื้อมีสีสดใสขึ้นไปขายให้พ่อค้าแม้ค้านำไปย่างไปปิ้งขายต่อ (ดังที่ปรากฏเป็นข่าว) หรือไม่ก็ขายให้โรงงานแปรรูปอาหารนำไปทำไส้กรอกคุณภาพชั้นสองราคาถูกๆ ต่อ

ส่วนผักและผลไม้จากตลาด จะหาที่ไม่มีสารเคมีปนเปื้อนหรือปนเปื้อนน้อยที่สุดยาก เว้นแต่จะปลูกเอง แต่คนที่ไม่ใช่เกษตรกร ไม่มีที่ดิน ก็ปลูกได้เล็กน้อยก็ไม่พอกิน (แต่ก็ยังดี) เมื่อยังต้องอาศัยผักตลาด ซื้อมาแล้วก็ต้อง ล้าง ล้าง และล้าง อย่างดี   รวมทั้งแช่ด่างทับทิมให้นานพอ   พยายามหาซื้อประเภทที่ระบุว่า "ผักปลอดสารพิษ" หรือ "ผักไร้สารพิษ" ซึ่งทั้งสองประเภทนี้ต่างกัน

ผักปลอดสาร หมายถึงใช้ปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลง และยาปราบศัตรูพืช แต่หยุดใช้ก่อนเก็บเกี่ยวตามจำนวนวันที่บริษัทผลิตสารเคมีบอกว่าปลอดภัย หรือ 

ผักไร้สาร หมายถึงไม่ใช้สารเคมีตลอดกระบวนการผลิต 

ผัก "ไร้สาร" จึงแพงกว่าผัก "ปลอดสาร"   

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลกรมอนามัยที่ไปสุ่มเก็บตัวอย่างจากตลาดมาตรวจ พบสารเคมีเกินค่ามาตรฐาน ทั้งในทั้งผักปลอดสารและผักไร้สารอยู่เนืองๆ จึงต้องซื้อจากผู้ผลิตที่เราวางใจ ผมเองเป็นลูกค้าประจำของชาวสันติอโศก เชื่อในความเคร่งครัดในศีลข้อมุสาวาทของพวกเขา ทั้งข้าวสาร ผัก ถั่วต่างๆ ก็ซื้อจากเครือข่ายนี้เป็นหลัก แม้ต้องลงทุนเดินทางบ้างก็ยอมไป บางครั้งเดินทางข้ามจังหวัดก็ยอมเสียค่าเดินทางไป ด้วยความตระหนักว่า ปากเป็นช่องทางรับสารพิษเข้าสู่ร่างกายช่องทางหลัก อันเป็นเหตุแห่งความเสื่อมโทรมของสุขภาพ

การ เลี่ยง ลด และ งด สิ่งต่างๆ ที่ว่ามาข้างต้น ช่วยให้โรคที่เป็นอยู่บางโรคก็หายเองได้โดยไม่ต้องรักษา ผมมีประสบการณ์ส่วนตัวหลังจากได้ทดลองปฏิบัติด้วยตนเองอย่างที่ว่ามา ผมที่หงอกขาวเกือบทั้งหัวเริ่มเปลี่ยนเป็นดำขึ้น ตาที่มัวจากต้อหินเริ่มแจ่มขึ้น ข้อนิ้วมือที่มักล็อกตอนตื่นนอนหายไป ริดสีดวงทวารค่อยๆ ฝ่อ และหายเหมือนปลิดทิ้งไม่เหลือซาก

จากประสบการณ์เล็กๆ ส่วนตัว ทำให้เชื่อว่า ต่อให้มะเร็งที่กำลังก่อตัว (แต่เราไม่รู้ตัว แพทย์ก็ไม่สามารถตรวจพบจนกว่าเซลล์มะเร็งจะมากเป็นพันล้านเซลล์แล้วแสดงอาการบางอย่างออกมา) แค่หาทางเลี่ยงการกินอาหารที่เป็นพิษเหล่านี้ให้ได้มากที่สุด มะเร็งที่กำลังก่อก็ฝ่อไปเองได้ โดยยังไม่ต้องกินอะไรเพิ่ม 

เท่าที่ผมศึกษาค้นคว้ามา พบว่า มนุษย์แทบทุกคน (โดยเฉพาะคนเมือง) ในโลกยุคปัจจุบันนี้มีเซลล์มะเร็งกำลังก่อตัวอยู่ในร่างกายจากการที่เรากินอาหารที่ผลิตโดยอุตสาหกรรมอาหาร เพียงแต่คนที่มีร่างกายแข็งแรงสกัดอยู่ มะเร็งจึงไม่โตพอที่จะคุกคามเราได้ โดยเราเองก็ไม่รู้ตัว)

ด้วยเหตุนี้ คำถามว่า "ไม่ควรกินอะไร?" จึงสำคัญกว่าคำถามว่า "ควรกินอะไร?" แต่ทั้งนี้ มิได้หมายความว่า คำถามว่าควรกินอะไรจะไม่สำคัญ รวมทั้งกินอย่างไร ปรุงอย่างไร กินเวลาไหน ก็สำคัญไม่แพ้กัน ซึ่งผมจะได้นำประสบการณ์จากการศึกษาค้นคว้าและทดลองด้วยตนเองมาบันทึกต่อไป.


หมายเลขบันทึก: 534922เขียนเมื่อ 6 พฤษภาคม 2013 20:52 น. ()แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม 2013 08:16 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

เห็นด้วยค่ะ การไม่กินสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ คือการยับยั้งสารพิษที่จะเข้าสู่ร่างกายได้อีกวิธีหนึ่งค่ะท่าน

ความเสี่ยงในการเลือกซื้อเลือกกินมีเสมอสำหรับทุกคน แต่บางคนก็ไม่มีทางเลือกและไม่ทราบเลยก็มี จึงมีคนป่วยมากขึ้นทุกวันนะคะ และสาเหตุที่ป่วยก็มาจากอาหารมากเสียด้วย ทำอย่างไรที่จะบอกกล่าวให้ทราบกันได้อย่างทั่วถึง  แต่ก็มีอีกเมื่อทราบก็ชะล่าใจกับความเสี่ยงป่วยของตัวเองที่ปฏิบัติได้ไม่ตลอด  หรือป่วยมากขึ้นอีก มีโรคเพิ่ม จากผลของการใช้ ยา ที่หมอสั่ง ก็มีอีก

ขอบคุณมากนะคะ การกินอาหารต่างๆ อยากให้มีคนทราบมากๆค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท