ค้นหาความจริงกับนมวัว
ใครเคยได้ยินสโลแกน "รักใครให้ดื่มนม" กันบ้าง ฟังแล้วมีความรู้สึกประทับใจในการทำงานของรัฐบาลเป็นอย่างยิ่งที่มีการรณรงค์ให้เด็กไทยได้ดื่มในสิ่งที่มีประโยชน์สูงสุด
แต่หลังจากที่ได้รับข้อเท็จ-จริงเกี่ยวกับนมวัวแล้วกลับได้รับรู้ว่า จริงๆแล้วการดื่มนมนั้นเป็นสาเหตุหลักๆของโรคภูมิแพ้ในคนเอเชียมากกว่า 50 % เลยทีเดียว
เป็นโรคภูมิแพ้ก็ว่าแย่แล้ว แต่ผลของนมวัวกลับติดตามมามากกว่านั้นอีก ไม่ว่าจะเป็น โรคอ้วน กระดูกพรุน กระดูกเปราะ หวัด จนกระทั่งมะเร็ง
พูดอย่างนี้หลายๆคนก็คงจะคัดค้านกันอย่างชนิดหัวชนฝาเลยทีเดียว เพราะบางคนคิดว่านมวัวนั้นเป็นเหมือนน้ำอมฤตเลยทีเดียว
อย่างแรกเลยก็คือเรื่องของแคลเซียม ที่เขามีการรณรงค์กันในโทรทัศน์และตามหนังสือต่างๆว่าการดื่มนม จะทำให้ร่างกายเราได้แคลเซียมในปริมาณสูง ร่างกายแข็งแรง กระดูกแข็งแรง แต่แท้ที่จริงแล้ว ในนมวัวนั้นมีแคลเซียมน้อยมาก ในนม 100 กรัม มีแคลเซียม 118 มก. ขณะที่อาหารธรรมชาติของคนไทยมีแคลเซียมมากกว่านับสิบเท่า เช่นปลาร้าผล 2,392 มก. กุ้งแห้งตัวเล็ก 2,305 มก. กะปิเคย 1,565 มก. งาดำคั่ว 1,452 มก. กุ้งฝอยน้ำจืด 1,339 มก. ถั่วแดงหลวง 965 มก. ผักกระเฉด 387 มก. เต้าหู้ขาว 250 มก. ผักคะน้า 245 มก. ฯลฯ เห็นไหมครับ ว่าการดื่มนมเพื่อหวังในเรื่องของแคลเซียมนั้นคงจะไม่ใช่วัตถุประสงค์หลักแน่นอน
นอกจากนั้นในนมวัวนั้นยังมีล้นเหลือด้วยไขมันอิ่มตัว ทำให้ผู้ที่รักการดื่มนมนั้นจึงมีภาวะทางโภชนาการล้นเกินอย่างน่าตกใจ เพราะในความเป็นจริงแล้วสารอาหารในนมที่เราจะได้รับอย่างจริงๆจังๆนั้นคือ ไขมัน โปรตีน และแคลเซียม แต่เนื่องจากในยุคปัจจุบันเรากินอาหารพวกนี้ล้นเกินอยู่แล้ว เราคงไม่ต้องการไขมันที่เพิ่มเติมเข้าไปอีก ดังนั้นไขมันในนมจึงเป็นสิ่งที่เราไม่ต้องการอีกแล้ว
อีกทั้งในนมนั้นยังมีน้ำตาลแล็กโตส และเคซีน ซึ่งเป็นโปรตีนที่มีโมเลกุลใหญ่และหยาบ ย่อยได้ยาก ทำให้บางคนนั้นเกิดอาการท้องเสียเป็นประจำเวลาที่ดื่มนม นอกจากนั้นยังแถมมาด้วยโรคอื่นๆอีกต่างหาก ผู้ที่ดื่มนมมักจะมีความเสี่ยงต่อโรคนิ่วในถุงน้ำดี เป็นสิว เป็นซีสต์ตามใต้ผิวหนัง และลามไปจนถึงต่อมเต้านม สุดท้ายก็กลายเป็นมะเร็งเต้านมได้
นี่เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งที่หยิบยกมาเล่าให้ฟังถึงโทษของการดื่มนมวัว ใครที่อยากค้นหาความจริงเพิ่มเติมลองหาหนังสือของสำนักพิมพ์รวมทรรศน์ เรื่อง นมมิตรแท้หรือศัตรูสุขภาพ และนม…มัจจุราชเงียบ กันดู
บางครั้งความเชื่ออย่างหัวชนฝาก็สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงเรื่องผิดๆให้เป็นเรื่องที่ถูกต้องได้ ลองหยุดคิดสักนิดและค้นหาความจริงเพิ่มเติมเสียหน่อยว่า สิ่งที่เป็นอยู่จริงหรือไม่จริง ก่อนที่ความเชื่อผิดๆจะทำร้ายเราและคนที่เรารัก
http://www.balavi.com/content_th/nanasara/Con00140.asp