ราชินีบีรู พ.ศ. 2127-2159 ทรงเป็นพระขนิษฐาของราชินีฮิเยา ในสมัยพระนางยังคงต้องเผชิญกับการคุกคามจากสยาม เห็นได้จากความพยายามในการสร้างปืนใหญ่3กระบอก ได้แก่ เสรี ปัตตานีหรือ พญาตานี ศรีนคราหรือเสรีนคร และมหาเลลา ทั้ง 3 กระบอกได้ติดตั้งไว้บนรถลากและ ได้ใช้เป็นอาวุธป้องกันเมืองปัตตานีหลายครั้งในเวลาต่อมา นโยบายด้านต่างประเทศ ตลอดกว่า 3 ทศวรรษ ที่ปฏิบัติภารกิจในฐานะเจ้าหญิงรัชทายาทเคียงข้างพระพี่นางฮีเจา ราชีนีบีรูทรงตระหนักได้ว่า ความรุ่งโรจน์ของนครปัตตานีในฐานะเป็นเมืองท่าสำคัญของการค้าบนคาบสมุทรมลายูนั้น ได้ทำให้นครปัตตานีกลายเป็นเป้าหมายของของกรุงศรีอยุธยา ที่ทรงอิทธิพลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ณ เวลานั้น
ประสบการณ์การเมืองและการทูตที่เรียนรู้สั่งสมครั้งเป็นเจ้าหญิงรัชทายาท ทำให้ราตูบีรูทรงเลือกที่จะรักษาความสัมพันธ์กับสยามไว้อย่างชาญฉลาด ในขณะที่ยังคงสืบต่อพระราชวิเทโศบาย สมัยพระพี่นาง ด้วยการส่งบุหงามาศมาสานไมตรีกับเจ้าแผ่นดินกรุงศรีอยุธยา. อีกด้านหนึ่งราตูบีรูทรงส่งคณะทูตไปเข้าเฝ้าสุลต่านเมืองกลันตัน เพื่อหารือเกี่ยวกับการรวมตัวกันเป็นสหพันธรัฐปัตตานี เพื่อต่อต้านอิทธิพลของกรุงศรีอยุธยา
เมื่อผลการเจรจาผ่านคณะทูตไม่เป็นที่พอพระทัย ราชีนีบีรูได้เสด็จด้วยพระองค์เองไปเยือนกลันตัน ในครั้งนี้สุลต่านกลันตันทรงมีความเห็นคล้อยตามข้อเสนอของราตูบีรู ในการรวมตัวเข้าเป็นสหพันธรัฐปัตตานี แต่มีเงื่อนไขว่า กลันตันต้องคงอำนาจปกครองเหนือดินแดนตนเอง และจะไม่ส่งเครื่องราชบรรณาการหรือภาษีจากกลันตันให้กับนครปัตตานี การรวมเป็นหนึ่งเดียวในนามสหพันธรัฐปัตตานี เพื่อสร้างกองทัพที่เข้มแข็งใน การเผชิญหน้าทำสงครามกับสยาม การรวมดินแดนระหว่างปัตตานีกับกลันตันใช้เวลา ถึง 131 ปี
เพื่อรักษาอธิปไตยเหนือแผ่นดินปัตตานี ราชีนีบีรูยังได้สร้างกำแพงเมืองแข็งแกร่งที่ชาวเมืองเรียกขานกันว่า "กำแพงบีรู" ทั้งยังมีบัญชาให้หล่อปืนใหญ่ไว้ใช้ในการปกป้องนครยามเกิดศึกสงคราม ในการหล่อปืนใหญ่นั้น พระองค์มีพระบรมราชโองการให้รวบรวมทองเหลืองทั้งหมดที่มีในพระนคร เพื่อใช้ในการหล่อปืน ทรงสั่งห้ามพสกนิกรขายทองเหลืองที่มีอยู่ในครอบครองให้กับชาวต่างชาติเป็น ระยะเวลา 3 ปี แต่ให้นำมาขายกับพระองค์ หากผู้ใดฝ่าฝืนผู้นั้นต้องรับโทษประหารชีวิต นอกจากพระราชกุศโลบายเพื่อปกป้องรักษาเอกราชของสหพันธรัฐปัตตานีแล้ว ราชีนีบีรูยังมีสายพระเนตรกว้างไกลในการดำเนินพระราชวิเทโศบาย เพื่อเชื่อมสัมพันธ์กับกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาด้วยการส่งดอกไม้เงิน ดอกไม้ทองไปให้สยาม ขณะที่เหล่าเสนาบดียังคงโรมรันพันตูอยู่กับการเมืองในราชสำนัก ราชีนีบีรูทรงดำเนินพระราชวิเทโศบายตามรอยยุคลบาทของพระพี่นางผู้ล่วงลับ พระองค์ทรงส่งเสนาบดีไปเชิญพระน้องนางอูงู มเหสีม่ายของเจ้านครปะหัง และเจ้าหญิงกูนิง พระราชธิดากลับมาประทับที่นครปัตตานี
หลังจากนั้น พระองค์ทรงพระราชทาน "เจ้าหญิงกูนิง" พระนัดดาวัย ๑๒ ปี ที่ร่ำลือกันนักว่าทรงพระสิริโฉมงดงามและมีพระฉวีสีเหลืองนวลลออตา ให้เสกสมรสกับออกญาเดโช บุตรชายของเจ้าเมืองลิกอร์ที่อยู่ภายใต้การปกครองของกรุงศรีอยุธยา เป็นพระราชกุศโลบายเพื่อสานสัมพันธ์แนบแน่นกับสยามที่ทรงอิทธิพลในขณะนั้น
นิรมิตแห่งพระนาม "บีรู" สีฟ้าสวยใสของสายรุ้งนั้น
เป็นที่ประจักษ์แจ้งในตำนานนครรัฐปัตตานี
ถึงความเป็นกษัตริยานักการทูตที่อ่อนนอกแข็งใน
พระจริยวัตรอ่อนหวานขององค์ราชีนีบีรูนั้น
ซ่อนไว้ด้วยเล่ห์กลทางการเมืองที่ทั้งขุนนาง ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน
และผู้รุกรานมิอาจหยั่งถึง ด้วยพระปรีชาสามารถ พระราชกุศโลบายแห่งรักเพื่อแผ่นดินที่ราชินีบีรูดำเนินสืบต่อมาจากพระพี่นางฮิเจา
อาณาจักรโบราณนามปัตตานี จึงยังคงรุ่งโรจน์เรืองรองภายใต้รัชสมัยของพระองค์
พสกนิกรยังคงดำเนินชีวิตรื่นรมย์สืบเนื่อง
มิได้มีศึกสงครามมากล้ำกรายให้ชีวิตที่สงบสุขในนครปัตตานีต้องเปลี่ยนแปรไป
วศินสุข. ข้องใจในประวัติศาสตร์ปัตตานี.
รัตติยา สาและ .(2544). การปฏิสัมพันธ์ระหว่างศาสนิกที่ปรากฏในจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส. กรุงเทพฯ: สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย.
สุภัตรา ภูมิประภาส. : สี่กษัตริยาปตานี : บัลลังก์เลือด และตำนานรักเพื่อแผ่นดิน. http://www.oknation.net/blog/print.php?id=209991 เข้าถึงเมื่อ 5 มีนาคม 2556
.ไม่มีชื่อผู้แต่ง. บทความประวัติเมืองปัตตานี. http://atcloud.com/stories/23146. เข้าถึงเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2556.
ไม่มีความเห็น