แนนซี่ เปลอสซี่



พีร์ พงศ์พิพัฒนพันธุ์



ในวัย
69 แนนซี่ เปลอสซี่  (Nancy Pelosi) ยังดูเข้มแข็งสำหรับการปฏิบัติงานในฐานะประธานสภาล่าง (Speaker of the House) หรือหากเป็นบ้านเราก็ประธานฝ่ายส.ส. อเมริกันเรียกว่า House of

representatives ขณะที่อีกซีกหนึ่ง คือ สภาสูง หรือ Senate หรือบ้านเราเรียกว่า วุฒิสมาชิก 

  ส.ส.พรรคเดโมแครต เปลอสซี่ จากเขต 8 แคลิฟอร์เนียร์ เวลา นี้กำลังแสดงบทบาทอันน่าสนใจจากทั้งสื่อ และประชาชนอเมริกันทั่วไป เกี่ยวกับข้อมูลที่เธอได้รับจากหน่วยข่าวกรอง หรือหน่วยสืบราชการลับซีไอเอ เมื่อปี 2002 ซึ่งขณะนั้นเธอนั่งอยู่ในกรรมาธิการด้านข่าวกรอง หรืองานราชการลับ (House Intelligence Committee) ประมาณนี้

  เปลอสซี่กล่าวหาหน่วยงานสืบราชการลับซีไอเอว่า ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการทรมานนักโทษที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายซึ่งเป็นภัย กับอ

เมริกา ไม่ตรงกับความเป็นจริง ซึ่งก็หมายถึง การโกหก สมาชิกคองเกรส

  การทรมานดังกล่าวก็คือ การกดหัวผู้ต้องสงสัยในน้ำ (Waterboarding) หรือวิธีทรมานโดยการใช้น้ำ(จับถ่วงน้ำ)เพื่อให้บอกความจริงข้อมูลต่างๆ หรือสารภาพผิด

  สมาชิกสภาคองเกรสหลายคน ได้ออกมาสนับสนุน ข้อกล่าวหาของเปลอสซี่ โดยระบุว่า เจ้าหน้าที่ซีไอเอ กระทำผิดกฎหมาย และกระทำตามอำเภอในเกินไป จะต้องสืบสวนว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร 

ล่าสุดแม้รัฐบาล บารัก โอบามา สั่งยกเลิกวิธีการทรมานแบบนี้ไปเรียบร้อยแล้ว แต่การทำงานของซีไอเอ กลับได้รับการจับตาจากหลายฝ่าย โดยเฉพาะการนำเสนอข้อมูลในสภาว่า ที่ผ่านมามีการบิดเบือนหรือไม่อย่างไร

เปลอสซี่ โทรหา ลีออน  แพเน็ตต้า(Leon Panetta) ผู้อำนวยการซีไอเอ คนแคลิฟอร์เนีย บ้านเดียวกับเธอ ทั้งเป็นอดีตคนของพรรคเดโมแครตเองด้วย เพื่อขอดูเอกสารที่ซีไอเอรายงานต่อกรรมาธิการ เมื่อปี 2002 อีกครั้ง

แพเน็ตต้า ออกมาปฏิเสธ และปกป้องหน่วยงานของเขาหลังจากนั้นไม่นาน

ขณะที่ส.ส.ของพรรครีพับลิกันหลายคนออกมาระบุปกป้องการทำงานของซีไอเอว่า หน่วยงานสำคัญของทางการอเมริกันแห่งนี้จะทำงานแบบเถรตรงเสียทีเดียวไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องลับ   

ส.ส.เดโมแครตหลายคนก็สวนกลับไปเช่นเดียวกันว่า  การทำงานของเจ้าหน้าซีไอเอ ที่ไม่ยืนอยู่บนพื้นฐานของการรายงานข้อเท็จจริง จะถือเป็นการสร้างบรรทัดฐานใหม่ด้านลบขึ้นมา ทำให้การรายงานต่อสภาฯในอนาคต  ข้อมูลที่นำเสนอนั้น ไม่สามารถเชื่อถือได้

แต่การติดตามเอาเรื่องเอาราวกับหน่วยงานสำคัญอย่างซีไอเอของเปลอสซี ถูกหลายฝ่ายทางการเมืองของอเมริกันมองอย่างงงๆ โดยเฉพาะฝ่ายรัฐบาลโอบามา ดูเหมือนมีท่าทีที่ไม่อยากยุ่งด้วย นายโรเบิร์ต กิบส์ โฆษกประจำทำเนียบขาวออกตัวตรงๆว่า ไม่ขอยุ่งด้วย เขาบอกว่า ประธานาธิบดีโอบามา ต้องการมองไปข้างหน้า ไม่ใช่มองไปข้างหลัง ซึ่งหมายถึง การไม่อยากหยิบยกประเด็นที่ผ่านมาแล้ว มาตอบโต้กัน

เปลอสซี่ กล่าวหาด้วยว่า รัฐบาลบุช กระทำผิดผิดพลลาด และมีส่วนรู้เห็น

คนพรรคเดโมแครตในรัฐบาลโอบามา บอกว่า การที่เปลอสซีหยิบยกเอาเรื่องซีไอเอมาพูดในช่วงนี้ อาจทำให้เสียบรรยากาศอันชื่นมื่นของรัฐบาลโอบามา ที่กำลังไปได้สวย โอบามาเองต้องการประสานการทำงานร่วมกับพรรครีพับลิกัน

โดยดูจากการบริหารจัดการคณะรัฐบาลที่ผ่านมา  การแต่งตั้งรัฐมนตรี โดยไม่คำนึงถึงพรรค แต่คำนึงถึงความสามารถ อย่างนายโรเบิร์ต เกตส์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หรืออีกกรณี คือ การแต่งตั้งนายโจน ฮันท์สแมน ผู้ว่าการรัฐยูท่าห์ (รีพับลิกัน)ไปเป็นทูตอเมริกาประจำเมืองจีน โดยที่เขาผู้นี้มีความสามารถด้านภาษาจีนและรู้เรื่องจีนดีมาก

สรุปแล้ว เดโมแครตข้างโอบามา มีท่าทีว่า ไม่สมควรยุ่งกับหน่วยงานซีไอเอ ในช่วงการทำงานแรกๆ ทั้งต่อๆมาก็คงรูปแบบ การไม่เข้าไปยุ่งเหมือนเดิม

 ในส่วนการทำงานของส.ส.หญิงจากซานฟรานซิสโกนั้น ภายหลังการนำเสนอข้อมูลโดยเจ้าหน้าที่ระดับสูงของซีไอเอต่อกรรมาธิการด้าน ข่าวกรอง หรือราชการลับในปี 2002 แล้ว เธอได้เกาะติดการทำงานของหน่วยงานซีไอเอมาตลอด

ในเวลาเดียวกันกับบทบาทของเธอที่ใส่ใจในงานด้านสิทธิมนุษยชน โดยในตอนนั้นเปลอสซีอยู่ในฐานะประธานพรรคเสียงข้างน้อย(Minority leader) โดยนับเป็นผู้หญิงอเมริกันคนแรกที่ได้ทำหน้าที่นี้

หลังจากนั้น เมื่อพรรคเดโมแครตได้เสียงข้างมากในสภา เธอจึงได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานสภาล่าง

ในความเห็นอีกด้าน การเข้าไปต่อกรกับซีไอเอของเปลอสซีครั้งนี้ ทำให้อเมริกันหลายคนคิดว่าเธอกล้าหาญอย่างยิ่ง เพราะหน่วยงานแห่งนี้ ไม่มีใครอยากตอแยมากนัก การดำเนินงานก็อยู่ภายใต้การบัญชาการทำเนียบขาว ซึ่งในสมัย ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช ได้มอบให้นายดิ๊ก เชนนี  รองประธานาธิบดีดูแลงานหน่วยงานนี้โดยตรง

ประกอบกับซีไอเอซึ่งมีสำนักงานใหญ่ อยู่ที่เมืองอาลิงตัน รัฐเวอร์จิเนีย เองก็อยู่ในอุ้งมือของคนทางฝั่งพรรครีพับลิกันมามาแทบตลอด

สำหรับเปลอสซี ทำงานการเมืองมานาน เธอได้รับการเลือกตั้ง เป็นตัวแทนจากเขตซานฟรานซิสโก แคลิฟอร์เนีย ตั้งแต่ปี 1987 เป็นส.ส.หญิง ที่มีบทบาทโดดเด่นมาอย่างยาวนาน ไม่แม้แต่ในอเมริกาเอง หากแต่เป็นในระดับโลก ในหลายประเทศ

เมื่อ 21 มีนาคมปีที่ 2008 เธอได้เดินทางไปพบองค์ดาไล ลามะ ผู้นำธิเบตที่ ธรรมศาลา ตอนเหนือของอินเดีย ซึ่งเป็นที่พำนักของผู้นำศาสนา(และการเมือง) พลัดถิ่น ทั้งได้มีการประกาศประนามการกระทำของรัฐบาลจีน พร้อมเรียกร้องให้ทางการจีน ปล่อยตัว นาย หู เจีย นักสิทธิมนุษยชนออกจากคุกอีกด้วย

นับแต่รัฐบาลโอบามา เข้าบริหารประเทศ เปลอสซี นับได้ว่า เป็นตัวจักรสำคัญในการผ่านกฎหมายหลายฉบับออกประกาศใช้ ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายเกี่ยวข้องกับงบประมาณ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอนุมัติเงินฟื้นฟูเศรษฐกิจจำนวนหลายแสนล้านเหรียญ  รวมกระทั่งกฎหมายทีเกี่ยวข้องกับปรับปรุงโครงสร้างของระบบและสถาบันการเงิน ของอเมริกา

นอกเหนือจากการผ่านร่างกฎหมายสำคัญสำหรับอเมริกัน อย่างกฎหมายด้านสุขภาพ ที่ขณะนี้รอการอนุมัติจากสภาสูง ก่อนที่จะผ่านไปยังประธานาธิบดี เพื่อลงนามประกาศใช้

บทบาทและความคิดของเปลอสซี ที่ออกไปในแนวเสรี (Liberal) ทำให้เธอได้รับคะแนนนิยมจากชน กลุ่มน้อยหรือต่างด้าว ในอเมริกา ที่ด้อยโอกาสและมีอยู่ทั่วประเทศ  พวกเขาหวังจะปักหลักทำมาหากินอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แม้เป็นที่น่าเสียดายว่า กฎหมายเกี่ยวกับแรงงานผิดกฎหมายนี้ ไม่ผ่านการอนุมัติจากสภาสมัยรัฐบาลบุชก็ตาม โดยที่กฎหมายฉบับนี้ได้รับการวิจารณ์จากสื่อและคนอเมริกันว่า ยังมีจุดโหว่ อยู่พอสมควร

ย้อนไปปี 1999 ช่วงปลายของรัฐบาล บิล คลินตัน เมื่อผมกับเพื่อนอเมริกันที่คุ้นเคยจากแมคคลีน(Mc Lean) รัฐเวอร์จิเนีย เข้าพบเธอ ที่แคปปิตอล ฮิลล์ วอชิงตันดี.ซี. คองเกรสวูแมนเปลอสซี ได้ให้การปฏิสันถารเป็นอย่างดี ทั้งโดยที่รู้ว่า แขกที่มาเยี่ยมที่ออฟฟิศของเธอนั้นมาจากซานฟรานซิสโก

10 ปีผ่านไป ผมเห็นเปลอสซี่ ทำงานอย่างมุ่งมั่น ไม่หวั่นไหว และเติบโต ในฐานะหญิงอเมริกันที่เข้มแข็งมากๆคนหนึ่ง….

หมายเหตุ : บทความชิ้นนี้เขียนขณะแนนซี่ เปลอสซี่ มีฐานะเป็นประธานสภาล่าง หลังจากได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งนี้ ในปี 2009

หมายเลขบันทึก: 521908เขียนเมื่อ 10 มีนาคม 2013 08:50 น. ()แก้ไขเมื่อ 10 มีนาคม 2013 09:00 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท