๔. งานหลวงไม่ขาด..งานราษฏร์ไม่เสีย
หลังสำเร็จการศึกษากลับมาทำงานในประเทศไทย ภารกิจในหน้าที่การงานของเราในยุควิกฤตน้ำมันแพงเป็นครั้งแรกในประเทศไทย จากราคาลิตรละไม่ถึงสิบบาท กลายเป็นเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว เป็นผลให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภค การลงทุนและรายจ่ายของภาครัฐและภาคเอกชน เสียการสมดุลทุกด้านอย่างมากมาย นโยบายภาครัฐจึงต้องเร่งสร้างเสถียรภาพให้กลับคืนสู่ประเทศโดยเร็ว
ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ส่งสามีของข้าพเจ้าเข้าไปร่วมงานกับรัฐบาลหลายชุดในยุคนั้น ทั้งในหน้าที่คณะทำงานและทีมที่ปรึกษาเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติงานทั้งในประเทศในส่วนของการร่วมวางแผนเศรษฐกิจ และการทำงานในต่างประเทศ เช่น ร่วมเดินทางไปเปิดการค้าและเจรจาซื้อน้ำมันในแหล่งราคาถูกจากสาธารณประชาชนจีน เป็นต้น
นอกจากทุ่มเทแรงกายแบบคนหนุ่มไฟแรงแล้ว สามีของข้าพเจ้ายังออกแรงความคิดในการเสนอแนะนโยบายในการป้องกันและแก้ไขสถานะการณ์ทั้งในภาพรวมและเชิงปัจเจก วิพากย์และวิเคราะห์สถานการณ์เศรษฐกิจอย่างเป็นปัจจุบัน พยากรณ์ผลกระทบในอนาคต และการวางแผนที่เป็นไปได้ในทางปฏิบัติ
เขาได้เขียนความคิดเห็นเหล่านี้ลงในหนังสือพิมพ์ประชาชาติรายวัีน เป็นคอลัมน์ประจำชื่อ "ปากท้องชาวบ้าน" ใช้นามปากกา "สันติประชาราษฎร์" ...ต่อมาได้มีการเขียนเพิ่มเติมและจัดพิมพ์รวมเล่มออกเผยแพร่หลายครั้ง ในหนังสือชื่อ "วิเคราะห์เศรษฐกิจไทย" (พ.ศ. ๒๕๒๔ พิมพ์ครั้งที่ ๑ และ ๒ โดยสำนักพิมพ์อิมเมจ " เศรษฐทรรศน์ " (พ.ศ.๒๕๒๕ โดยสำนักพิมพ์ดอกหญ้า)โครงสร้างหนังสือเหล่านี้ ประกอบด้วย :
* ระบบบริหารเศรษฐกิจไทย และการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในระบอบประชาธิปไตย
* เศรษฐกิจการปกครอง (เศรษฐกิจกำนัน / ข้าราชการกับนักการเมือง /ปากท้องข้าราชการ)
* เศรษฐกิจชาวบ้าน (คนมีมากพึงช่วยคนมีน้อย / ถมไม่เต็ม / เศรษฐกิจน้ำท่วม)
* เศรษฐกิจการเกษตร (ธนาคารพาณิชย์ กับสินเชื่อเพื่อการเกษตร / สินเชื่อเพื่อการเกษตรกับการพัฒนาชนบท)
ในฐานะภรรยาอย่างข้าพเจ้า แม้มีงานประจำทำเต็มเวลาอยู่แล้ว แต่ยังต้องเข้ามาช่วยเป็นกองหลัง มีหน้าที่ในการส่งกำลังใจและความสะดวกในการทำงานของสามีอย่างเต็มที่ ทั้งการขับรถยนต์ส่วนตัวรับ-ส่งไปทุกแห่งที่มีการประชุม ทั้งใกล้-ไกล..ไม่จำกัดเวลาแม้ยามดึกดื่น..อีกทั้งหาอาหารจานด่วนบริโภคในระหว่างทางพร้อมน้ำชา กาแฟใส่กระติกเก็บความร้อนพร้อมดื่มเสมอ ..รับฟังความเห็นและเป็นที่ระบายอารมณ์เคร่งเครียดจากการงานด้วยความเข้าใจ ขณะเดียวกันข้าพเจ้าได้หาโอกาสชวนเขาไปผ่อนคลายสบายจิตในวาระดีๆบ้าง
ในบางการประชุมเดินทางต่างถิ่นและงานสังคมโดยทั่วไป เราทั้งสองเคียงคู่ไปไหนไปกัน ไม่ห่างเหินให้เป็นที่ว้าเหว่...ได้เก็บเกี่ยวทั้งความสุขและประสบการณ์ใหม่ๆร่วมกันอย่างสำราญใจ
ความอบอุ่นในหมู่วงศาคณาญาติทั้งสองฝ่าย ห้อมล้อมสังสรรกันเป็นประจำด้วยความเกื้อกูลอย่างสม่ำเสมอ ญาติของเขาเหมือนญาติของเรา...แบ่งปันความสุขทั้งงานบุญ..งานมงคลอย่างครบถ้วน
๕. สังขารนี้ไม่เที่ยงหนอ..
ความสุขในชีวิตคู่ผ่านไปอย่างรวดเร็วจวบจนย่างเข้าปีที่ห้า...สามีเริ่มมีอาการป่วยด้วยโรคไวรัสตับอักเสบบีแบบร้ายแรงและเรื้อรัง อาการเริ่มแสดงเป็นครั้งแรกหลังจากกลับจากประชุมผู้ว่าการธนาคารกลางเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ประเทศมาเลเซีย เป็นผลให้เบื่ออาหาร ตัวเหลือง และอ่อนแรง เขาต้องเข้าออกโรงพยาบาลศิริราชเป็นระยะๆอยู่ถึงห้าปี..
แพทย์ผู้ชำนาญโรคนี้ ได้เตือนล่วงหน้าว่า ตับจะแข็งมากขึ้นเป็นลำดับไม่สามารถเยียวยาได้ แพทย์ได้แต่ช่วยทุเลาอาการอ่อนเพลียเพียงฉีดน้ำเกลือผสมยาบำรุงตับเท่านั้น..พร้อมทั้งแนะนำให้ผู้ป่วยพักผ่อนมากๆ ไม่ควรออกกำลังหรือทำงานหนักใดๆ ..นับเป็นโรคร้ายที่เป็นอุปสรรค และบั่นทอนคนขยันทำงานอย่างสามีของข้าพเจ้าเป็นอย่างมาก..ชีวิตช่วงนี้ จึงใช้เวลาส่วนใหญ่ พักผ่อนอยู่อย่างสุขสงบที่บ้านเรือนหอที่อยู่ตรงกันช้ามกับบ้านพ่อแม่ของข้าพเจ้า ซึ่งมักจะเดินข้ามมาดูแล ให้ความอบอุ่นแก่ครอบครัวของเราเสมอ
ด้วยความที่สามีของข้าพเจ้าเป็นผู้ฝักใฝ่ในการศึกษาและปฏิบัติธรรมเป็นเนืองนิจ เขาเคยบวชเรียนกับ ท่านเจ้าคุณพระธรรมปาโมกข์ เจ้าอาวาสวัดธาตุทอง นอกจากนี้เรามักถูกชักชวนจากพระวัดป่าให้เป็นเจ้าภาพสร้างพระประธานในวิหารที่ห่างไกลญาติธรรม และตลอดช่วงเวลาที่เราครองเรือนด้วยกัน เขามักชวนข้าพเจ้านั่งสมาธิในห้องพระที่บ้านเรือนหอ ซึ่งเขาจัดสถานที่ให้เป็นสัปปายะอย่างเหมาะสมมาก
เราได้ตระหนักถึงความไม่เที่ยงแท้แห่งวัฏสังสาร..เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นความไม่แน่นอนของธรรมชาติ หากแต่จิตที่ฝึกมาดีจนเข้าใจในพุทธรรมเยี่ยงนี้ ย่อมถึงพร้อมในการยินดีที่จะต้องละวางสังขารอันทรุดโทรมด้วยโรคภัยไข้เจ็บ อย่างไม่อาลัยอาวรณ์
บ่ายวันอาทิตย์ที่ ๕ กรกฏาคม พ.ศ. ๒๕๒๔ ย่างเข้าปีที่สิบของชีวิตคู่ครอง สามีของข้าพเจ้าซึ่งได้เข้าโรงพยาบาลเป็นครั้งที่สาม ได้มีอาการป่วยในขั้นสุดท้าย ซึ่งแพทย์ได้มาตรวจชีพจรและความดันโลหิตที่ต่ำลงถึงขั้นวิกฤต หลังจากไตของเขาไม่ทำงานมาตลอดทั้งคืน คุณพ่อและน้องชายของข้าพเจ้าที่เข้ามาเยี่ยมตั้งแต่ช่วงเที่ยง ได้ไปกราบนิมนต์ ท่านเจ้าคุณพระธรรมโสภิต ผู้ช่วยเจ้าอาสวัดราชาธิวาส พระสงฆ์ผู้มีเมตตาคุณต่อครอบครัวของเรา ซึ่งสามีของข้าพเจ้า ได้ไปปวารณาสร้างหอฉันไว้ ท่านได้กรุณาสวดมนต์รำลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ พร้อมทั้งสนทนาธรรมอันยังความสุขสงบมาสู่จิตใจของผู้ป่วยและญาติพี่น้องที่ห้อมล้อมเป็นอย่างยิ่ง..
ครั้นช่วงเย็นก่อนตะวันพลบค่ำในวันนั้น ข้าพเจ้าได้นั่งมองใบหน้าของสามี ที่นิ่งสงบกำหนดลมหายใจอยู่กับปัจจุบันกาล มีเสียงสวดมนต์ทำวัตรเย็นจากหมู่พระสงฆ์ที่เราได้อัดเสียงเปิดไว้ตลอดเวลานั้น ในที่สุด สามีได้ละวางสังขารจากไปอย่างนุ่มนวลพร้อมใบหน้าที่แย้มยิ้มผ่อนคลาย ด้วยวัยเพียงสามสิบเจ็ดปี ..ท่ามกลางความอาลัยรักของทุกคน แต่ไม่มีน้ำตาของความโศกเศร้า ด้วยเพราะความเข้าใจแห่งสัจจธรรมของกฏธรรมชาตินี้
๖. หน้าที่ของผู้อยู่เบื้องหลัง..น้อมนำธรรมรักษาใจ..
ในการจัดการงานศพของสามี ข้าพเจ้าได้รับความกรุณาจากธปท.มอบหมายให้เป็นผู้จัดทำหนังสือที่ระลึก ซึ่งธปท.เป็นเจ้าภาพ ข้าพเจ้าตั้งใจพิมพ์เป็นสองเล่ม โดยเล่มแรกเป็นประวัติชีวิตและรวมบทความด้านเศรษฐกิจที่สามีเขียนไว้ดังที่กล่าวข้างต้น ส่วนอีกเล่มหนึ่ง เป็นหนังสือชื่อ "ธรรมะคือดวงประทีป" รวบรวมธรรมคติของท่านพระอาจารย์เทสก์ แห่งวัดหินหมากเป้ง จังหวัดหนองคาย ซึ่งข้าพเจ้าได้ไปถอดธรรมบรรยายจากท่านในระหว่างไปปฎิบัติธรรมที่วัดนี้กับคุณพ่อของข้าพเจ้า
เนื่องจากสามีของข้าพเจ้าเป็นผู้ที่ใส่ใจเรื่องการศึกษาของเด็กๆในพื้นที่ห่างไกล และมักสนับสนุนปัจจัยเพื่อการศึกษาตามแต่กำลังและโอกาสเสมอ ข้าพเจ้าจึงดำเนินการต่อยอดเจตนารมณ์นี้ โดยรวบรวมเงินช่วยงานศพของเขาทั้งหมด สมทบกับเงินออมส่วนตัว เดินทางไปพร้อมกับครอบครัวและเครือญาติบุญของเรา เพื่อไปซ่อมแซมอาคารของโรงเรียนขนาดเล็กแห่งหนึ่งในพระะอุปถัมภ์ของสมเด็จพระศรีนครินทรา พระบรมราชชนนี ซึ่งเก่าทรุดโทรมมาก ตั้งอยู่ใกล้วัดถ้ำตับเตา ที่อำเภอไชยปราการ จังหวัดเชียงใหม่ และเพื่อนร่วมบุญที่ ธปท. ได้นำอุปกรณ์การเรียนไปร่วมสมทบด้วยอย่างคับคั่ง และขณะเดียวกันได้ตั้ง "กองทุนประทีป สนธิสุวรรณ" ที่โรงเรียนวัดบางกอบัว จังหวัดสมุทรปราการ ที่ซึ่งสามีของข้าพเจ้าได้เข้าศึกษาในวัยแรกเรียน
ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อดีตผู้ว่าการของธปท.และอดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ทราบข่าวมรณะกรรมของเขา ท่านได้กรุณาส่งจดหมายเขียนด้วยลายมือบรรจง มาร่วมไว้อาลัยด้วย ยังความซาบซึ้งและเป็นกำลังใจแก่ข้าพเจ้าเป็นอย่างยิ่ง และภายหลังจากนั้น ข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปกราบขอบพระคุณท่านด้วยตนเองที่บ้านของดร.อัมมาร์ สยามวาลา
๗. พลังรักแท้..แม้วันนี้ไม่มีเขาอยู่
นับจากบัดนั้นเป็นต้นมา ที่การตายก่อนวัยอันควรของเธอผู้เป็นที่รัก ได้เป็นโจทย์ใหญ่ให้ภรรยา ได้พิจารณา สภาวะธรรมแห่ง อริยสัจสี่..ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค..
รูปภาพของเธอที่ได้ถูกนำมาวางไว้บนหิ้งบรรพชนผู้ล่วงลับไปแล้ว เพื่อเตือนใจให้รำลึกถึงพระคุณอันยิ่งใหญ่นี้..และเป็นแรงบันดาลใจให้ข้าพเจ้าเร่งทำคุณงามความดีทั้งแก่ตนและผู้อื่น ก่อนที่วาระนั้นจะมาถึงด้วยเช่นกัน
.................................................................................................................................
ขอบคุณ น้องแสงแห่งความดี มากนะคะ ที่นำภาพและวาทะของท้ายบันทึกนี้ ไปอ้างไว้ที่อนุทินนี้...
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย นงนาท สนธิสุวรรณ ใน เส้นทางชีวิต..ใครลิขิต
:):)