ในข้อสอบส่วนนี้จะมีทั้งหมด 30 ข้อนะครับในเวลา 30 นาที โดยจะมีทั้งแบบพูดสั้น ๆ พูดเป็นเรื่องยาว ๆ และแบบ พูดคนเดียว ซึ่งทั้งสามแบบนี้ก็มีความยากง่ายไปคนละแบบ ดังนั้นสำหรับในพาร์ทนี้ สิ่งแรกที่ต้องทำหลังจากได้รับข้อสอบมาคือ การอ่านคำถาม และอ่าน choice ทุกข้อ คนส่วนมากมักจะรอให้ คำถามหรือบทสนทนาขึ้นก่อน แต่ถ้าเอาจริงๆ และ จะไม่ทันการได้ ดังนั้นในช่วงที่เขากำลังอารัมภบทอธิบายคำสั่งในแต่ละพาร์ท อย่างน้อยก็น่าจะ 3-4 นาที กว่าจะพูดจบ เอาเวลาตรงนั้นมาลุยอ่านคำถามไปก่อนเลย เพื่อเป็นการจับโทนเรื่องของคำถามในแต่ละอัน เช่น มีคำถามข้อหนึ่ง ( ยังไม่ได้ฟังบทสนทนานะ ) ข้อ A. เกี่ยวกับ telephone B.เกี่ยวกับ phone number C. เกี่ยวกับ calling และ D. เกี่ยวกับ weather เห็นไหมครับว่า เราจะสามารถตัด choice ไปได้เลย และยังรู้อีกว่า ถ้าบทสนาจะพูด ต้องเกี่ยวกับการพูดคุยทางโทรศัพท์แน่นอน แล้วเราก็ไปฟังอีกทีว่าจะเป็นแนวไหน ขอเบอร์โทรศัพท์ ขอสายใคร หรือนัดอะไร อีกที และสิ่งที่ต้องมีเวลาเจอข้อสอบ listening คือ Keyword ของคำถามครับ ใน listening นั้น จะมีคำที่เข้าใช้บ่อย ๆ คือ mean (ความหมาย) imply (กล่าวเป็นนัย) suggest (แนะนำ) infer (สรุป) คำเหล่านี้เป็นคำที่น้อง ๆ ต้องทราบความหมายแบบฟังปุ๊ปรู้ทันทีเลยนะครับ นอกจากนี้ความโหดของ listening คือ น้องๆจะได้ฟังเพียงแค่ หนึ่ง รอบเท่านั้น !!
เป็นข้อสอบชุดที่สองที่น้องจะได้หลังจากสอบ listening ฟังกันจนหูชามาเสร็จ 555 ในข้อสอบส่วนนี้ต้องบอกก่อนว่า เป็นความหินของทุกคนในการทำข้อสอบประเภทการอ่าน ดังนั้นการบริหารจัดการกับข้อสอบประเภทนี้ที่ควรรู้ก็คือ มันจะมีข้อสอบแบบ close test อยู่ด้านหน้าสุด ดังนั้นถ้าเป็นพี่ พี่จะข้ามไปทำในส่วนของ reading ก่อน เหตุผลเพราะ มันเป็นกลยุทธ์ทางจิตวิทยาที่เอาข้อสอบแบบ ช่องโหว่มาไว้ข้างหน้า พอเด็กแปลคำศัพท์ไม่ได้ใน 4 choice ทุกอย่างก็จบ ดังนั้นเพื่อไม่ให้เสียกำลังใจ พี่จะเลือกทำพวก reading ก่อนให้หมด เพราะกฎของข้อสอบมันมีอยู่ว่า จะถามนอกจากที่เขียนไม่ได้ เว้นเสียแต่เจอคำว่า "น่าจะ" หรือให้เดาว่า บทความนี้ใครควรอ่าน ข้อสอบชุดนี้ถือว่ามีเยอะสุดในทั้งสามส่วน คือมี 60 ข้อ 70 นาที ดังนั้นถ้าอยากได้คะแนนเยอะ ๆ เราจะเป็นต้องอ่านบ่อย ๆ ให้เร็ว ฝึกการใช้วิธีตัด choice ที่สอนไปให้คล่อง เพราะจริงๆแล้ว reading เราไม่ต้องแปลทั้งเรื่อง และคำถามแบบไหนควรทำก่อนเมื่อเจอ แนวคำถามไม่เคยเปลี่ยนแนวนะครับ แค่เปลี่ยนบทความ และจากการศึกษาข้อสอบมักเอามาจากบทความทาง internet ทั้งสิ้น น้องควรเลือกทำไม่ควรทำเรียงข้อ 1-10 เพราะบางที การอ่านข้อ 5 ก่อนข้อ 2 อาจจะได้คำตอบข้อสองก็ได้ เราควรทำแบบเลือกข้อทำก่อน เพราะประเด็นคือ ทำคะแนน พี่เบสเชื่อว่า หลังจากผ่านไป 1 สัปดาห์น้องๆ ก็ลืมหมดแล้วว่าคำถามเป็นอะไร ที่จะจำได้ก็มีแต่ คะแนนจริงไหมครับ อิอิ
นี่เป็นข้อสอบส่วนสุดท้ายก่อนกลับบ้าน 55555 บางคนบอกว่าข้อสอบแบบนี้ยากสุดๆ แล้ว หินมาก แต่สำหรับพี่แล้วมันมี trick ในการตอบของข้อสอบอยู่ครับ trick นั้นก็คือ อย่าแปล !! ถ้าไม่จำเป็น เพราะจริงๆแล้ว ข้อสอบมันเพียงต้องการเช็คโครงสร้างทางภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ ข้อสอบมี 30 ข้อ ให้เวลา 30 นาที นั่นหมายความว่าน้องมีเวลาแค่ ข้อละ 1 นาทีเท่านั้น!!! นั่นหมายความว่า เราจะใช้เวลาในแต่ละข้อเกิน 2 นาทีเมื่อไรจะทำให้ไปกระทบกับข้ออื่นทันที แต่ใครจะรู้ว่า ตัวที่ช่วยดึงคะแนนของการสอบคือ error นี่แหละครับ อิอิจะบอกว่าความยากของข้อสอบไม่ได้อยู่ที่โจทย์ยาวนะครับ อยู่ที่ว่าน้องๆ รู้หรือไม่คำๆนั้นทำหน้าที่เป็นอะไร เช่น lovely boy บางคนเห็น ly บอกว่าผิด เป็น adverb แต่พี่จะแอบบอกว่านี้คือ adjective น้องจะเชื่อไหม 555555555 นี่แหละครับความยากของมัน หรือ work เป็นทั้ง noun และ verb น้องรู้หรือป่าว คำสั้นๆก็อาจทำให้เราตกม้าตายได้ต้องระวังนะครับ
สรุปนะครับ ส่วนมากแล้วทางจุฬามักจะต้องการคะแนนขั้นต่ำ 550 คะแนน มีคนถามพี่ว่า 550 คือกี่คะแนนค่ะ จริงๆ แล้วเกณฑ์ตายตัวไม่มีนะคับ ยิ่งคะแนนสูงขึ้น ค่าของคะแนนในแต่ละอันก็จะน้อยลงครับ ดังนั้น พี่จะเอาเกณฑ์ให้น้องแบบนี้ดีกว่า จะได้ไปเทียบคะแนนได้ ดีมั้ยย ??
คะแนน CU TEP |
เทียบคะแนน |
0 |
350 |
30 |
400 |
45 |
450 |
60 |
500 |
75 |
550 |
90 |
600 |
105 |
650 |
120 |
700 |
ต่อไปเวลาอยากเข้าคณะไหน น้องๆ ก็เอาไปเทียบเอาได้เลยนะครับ ว่า ใน 120 ข้อ น้องได้กี่คะแนน แล้วเทียบเป็นกี่คะแนน
ขอบคุณมากนะคะ กำลังสนใจเรื่องนี้อยู่พอดีเลยค่ะ