วันหนึ่ง ข้าพเจ้านั่งรถไฟไปหาดใหญ่ มีขอทานคนหนึ่งเป็นผู้หญิง อายุประมาณ30กว่าๆ มือหงิกงอปากเบี้ยวพูดไม่ชัด มีไม้เท้าอันหนึ่ง ถือราบไปกับพื้นรถ ดูเหมือนขาจะอ่อนแรงเดินไม่ได้ เคลื่อนตัวไปอย่างทุลักทุเล ด้วยการถด(ถัด)ไปกับพื้น โดยใช้ไม้เท้าทอดไปกดไว้กับพื้นห่างจากตัวไปข้างหน้า แล้วขยับสะโพกตามไป อีกมือหนึ่งถือขันไว้รับเศษสตางค์ พร้อมกับยื่นขันไปหาผู้โดยสารบนรถไฟ เมื่อมีใครหย่อนสตางค์ลงไป ก็ให้พรเสียงอ้อแอ้ไม่ชัดเจน เพราะปากเบี้ยว พอถึงข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็หย่อนเหรียญ10บาทลงให้ เขาวางไม้เท้ายกมือไหว้และให้พร แล้วเขาก็เคลื่อนตัวต่อไป ปกติเวลาข้าพเจ้าไปรถไฟจะเจอเขาทุกครั้ง และจะให้ทานเขาเสมอ ทีละบาทสองบาทมั่ง ห้าบาทมั่งตามแต่จะมีเศษสตางค์อะไร วันนั้นพอถึงหาดใหญ่ ข้าพเจ้าลงรถไฟแล้วไม่รีบเพราะต้องรอลูกชายมารับไปธุระ จึงได้เห็นพฤติกรรมของขอทานผู้นี้ ข้าพเจ้าลงรถมาเดินเตร่อยูหน้าชานชาลา สักครู่เห็นขอทานคนนี้ลงจากรถด้วยความลำบากยากเย็นเสียจริงๆ แล้วถดไปเหมือนตอนอยู่บนรถ ไม่ออกทางออกที่ผู้โดยสารทั่วไปออก เขาถดเลียบชานชาลาไปทางทิศใต้ อย่างเชื่องช้าเสียเหลือเกิน น่าเวทนายิ่งนัก ทันใดนั้นขณะที่ข้าพเจ้าหันไปทางอื่นเพื่อมองหาลูกชายที่นัดมารับ เมื่อหันกลับไปอีกที ก็เห็นขอทานคนนั้น เดินลิ่วแบกไม้เท้าไว้บนบ่า ดูกระฉับกระเฉงว่องไว เดินอย่างเร็ว ไม่มีร่องรอยของความพิการหลงเหลืออยู่เลย ข้าพเจ้าอดคิดไม่ได้ว่า แกช่างมีความสามารถแสดงได้แนบเนียนจริงๆ ปากไม่เบี้ยว มือไม่หงิกงอเลยครับ แข้งขาก็ไม่ได้อ่อนแรงแต่อย่างใด วิธีการแหกตาประชาชนของแกแน่บเนียนมาก แกคงจำเป็นต้องทำเพื่อดำรงชีวิตของตัวเองเพื่อครอบครัวเราไม่รู้ดอกว่าภายในครอบครัวเขามีปัญหาอะไรมากมายแค่ใหน ก็น่าเห็นใจ เพราะการแหกตา การหลอกลวงของเขาไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใคร คนที่ให้ทานเขาให้ด้วยความสงสาร และอิ่มอกอิ่มใจในการให้ทาน แม้ข้าพเจ้ารู้ความจริงในการเสแสร้งแกล้งทำของเขา ก็ยังมีความยินดีในผลทานที่ข้าพเจ้าให้เขา ไม่ได้แช่งด่าว่าเขาประการใด ยังดีเสียอีกที่เขาขอทานมาได้เท่าไหร่ก็เป็นกรรมสิทธ์ิของเขาเอง ไม้ต้องแบ่งปัน ไม่ต้องเสียค่าคุ้มครอง ไม่ต้องเสียค่าให้ผู้จัดการ เหมือนกับขอทานที่พิการจริงๆ พูดถึงผู้ขอทานที่พิการจริงๆแล้วรู้สึกสมเพทเวทนา น่าสงสารยิ่งนัก เพราะเพียงแต่ถูกเลี้ยงให้มีชีวิตรอด อยู่อย่างทรมาน เพื่อขอทานให้ผู้อื่น ยิ่งพิการมาก ทรมานมากเท่าไหร่ยิ่งดี จะได้มีคนสงสารมากๆ ได้สตางค์มากๆ ซึ่งผู้ขอทานเองไม่ได้มีสิทธ์ิในเงินที่ได้มา เขาเป็นเหยื่อ ที่พวกมิจฉาชีพนำมาวางล่อไว้เท่านั้น เขาเป็นแค่เหยื่อ เขาเป็นแค่ทาส ที่ต้องทรมานสังขารเพื่อผลประโยชน์ของคนอื่น ข้าพเจ้าคิดว่าการให้ทานแก่ขอทานทั้งสองประเภทนี้ การให้ทานกับขอทานประเภทแรกจะได้บูญกุศลมากกว่าแม้เขาจะแหกตาหลอกลวง เขาก็เอาเงินไปเพื่อดำรงชีวิตตัวาองและครอบครัว ไม่เป็นเหยื่อ ไม่เป็นทาสของใคร ส่วนประเภทหลัง ยิ่งให้ทานเหมือนยิ่งเพิ่มความทุกทรมานให้แก่เขา ตราบใดทีเขายังขอทานได้ เขาจะถูกนำมาวางไว้ให้ตากแดด ตากฝน ตากลมอยู่ริมฟุตบาท ตามสะพานลอย ตามที่ผู้คนสันจรไปมาพลุกพล่าน ยิ่งให้ทานแก่เขาเสมือนผลักเขาเข้าไปในความผิดบาปมากขึ้น แต่ข้าพเจ้าก็ยังอดไม่ได้ที่จะหย่อนเศาสตางค์ลงในขันของเขาทั้งที่รู้ว่าเป็นการให้ความทรมานแก่เขายืดออกไปอีก ให้ด้วยจิตสำนึกว่าไม่ควรผ่านเลยไปเฉยๆ ไม่ควรแล้งนํ้าใจแก่คนทุกขเวทนา ให้ด้วยใจหดหู่ครับ แล้วคุณล่ะ คิดอย่างไรกับขอทานสองประเถทนี้
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านและให้กำลังใจ
ขอให้ออกความคิดเห็นด้วยครับ ขอบคุณครับ
เป็นประสบการณ์ที่เห็นแบบ จะจะ เลยนะคะ
แบบนี้ก็มีจริง ๆ
ขอบคุณ คุณวอญ่า
คุณภาวดี น้อยอาษา(ใบไม้ร้องเพลง)
ขอบคุณครับ
ปกติจะเลือกให้ครับ แต่ดูยากมากๆเลยครับพ่อเขียน
ครับ ขอบคุณคุณขจิตครับ
สวัสดีค่ะพ่อ
อรไม่เคยเจอขอทานมานานหลายปีแล้ว เพราะแต่ละวันสถานที่ที่ไปจะไม่มีขอทานอยู่
ไม่ได้ไปเดินซื้อของที่ตลาดสดเหมือนเมื่อก่อน จะได้หาซื้อของก็ตอนค่ำแล้ว ต้องซื้อในห้างอย่างเดียว
ไปทำงานก็เป็นบ้านลูกค้าที่อยู่ในหมู่บ้านซึ่งขอทานก็เข้าไม่ได้
แต่หากวันใดได้ไปตลาดนัดเปิดท้ายขายของที่ภูเก็ตที่นั่นคงมีหลายสิบคนค่ะ ..
แต่ละคนก็ดิ้นรนกันไปแตกต่างกันค่ะ