ผมมีบทความที่ได้เขียนไว้เมื่อวันที่ 29 กรกฏาคม และแก้ไขเมื่อ 10
สิงหาคม ซึ่งยังไม่ได้เผยแพร่
จึงขอนำมาเผยแพร่นะที่นี้ครับ
กองฟืน จุดไฟ
และควันหลงในงาน “นเรศวรวิจัย” ครั้งที่
1
(15
ปี แห่งการสถาปนามหาวิทยาลัยนเรศวร)
ผมได้รับการร้องขอจาก
คุณมีนา สุนันตา
เจ้าหน้าที่งานวิจัย
มหาวิทยาลัยนเรศวร ให้ช่วยเขียนบทความเกี่ยวกับการจัดงาน
“นเรศวรวิจัย” ครั้งที่ 1 ให้หน่อย
(คงเป็นเพราะผมเคยเขียนเรื่อง Mobile Unit ให้อะไรมากกว่าที่คุณคิด
และคุณมีนาคงจะชอบใจใน สไตล์การเขียนแบบลูกทุ่งของผม)
ซึ่งผมก็ยินดี เพราะอยากจะให้กำลังใจคนทำงาน หนึ่งในผู้ปิดทองหลังพระ
ในทีมงานของ ผศ.ดร. วิบูลย์ วัฒนาธร
รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและประกันคุณภาพ
พูดถึง ดร. วิบูลย์
ซึ่งสวมหมวกหลายใบ (ก็แกเป็นคนมีความสามารถ ตั้งใจทำงานและทำงานละเอียด)
เท่าที่ผมสัมผัสอยู่ด้วย มี 1 .
ดูแลเรื่องงานวิจัยของมหาวิทยาลัย 2.
ดูแลเรื่องหน่วยประกันคุณภาพ 3. ดูแลเรื่องการจัดการความรู้
4. ดูแลเรื่อง Mobile Unit 5.
ดูแลเรื่องคลินิกเทคโนโลยี 6.
ดูแลเรื่องรางวัลนวัตกรรมแห่งประเทศไทย 7.
ดูแลเรื่องเครือข่ายวิจัยภาคเหนือตอนล่าง และ อื่น ๆ
อีกที่ผมไม่ทราบ และเนื่องในโอกาสครบรอบ “15 ปี
แห่งการสถาปนามหาวิทยาลัยนเรศวร” ในวันที่ 29 กรกฏาคม พ.ศ.
2548 ดร.วิบูลย์ จึงมีการบูรณาการงานทั้งหลายทั้งปวงเข้าด้วยกัน
จัดเป็นงาน “นเรศวรวิจัย” ครั้งที่ 1 ขึ้น โดย Theme
ในครั้งนี้คือหัวข้อ
“กระบวนทัศน์ใหม่ในการบริหารงานวิจัยในมหาวิทยาลัยนเรศวร”
ถ้าในการเตรียมงาน
เปรียบเสมือนการเตรียมกองฟืน
การจัดงานก็ต้องเปรียบเสมือนการจุดไฟให้ความอบอุ่นในหน้าหนาว
ซึ่งเมื่อหายหนาวแล้วก็เอาน้ำมาราดรดกองฟืน ทำให้เกิดควันน้อย ๆ
ลอยขึ้นมาเป็นควันหลง เหมือนหัวข้อข้างต้นไง
คุณผู้อ่านคงงงอยู่นาน
การจัดงานครั้งนี้ผมทราบมาว่า เตรียมงานกันนานมาก คงไม่ต่ำกว่า
2 เดือนเป็นแน่ ผมขอพูดเฉพาะเรื่องคลินิกเทคโนโลยี งานที่ผมมีส่วนร่วม
และบรรยากาศทั่วไปของงานก็แล้วกันนะครับ
ผมได้รับการติดต่อจากคลินิกเทคโนโลยี
ซึ่งมี ดร.ศจี สุวรรณศรี เป็นผู้จัดการคลินิกเทคโนโลยี
และคุณเอมอร สารเถือนแก้วเป็นผู้ประสานงาน ให้ไปพูดเรื่อง
“ตู้หลอมไขผึ้ง พลังงานแสงอาทิตย์” เป็น Oral Presentation
ในวันที่ 28 กรกฎาคม 2548 ช่วงบ่าย ณ
สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สุขภาพชั้น 3
ส่วนนี้เป็นเรื่องวิชาการ แต่สิ่งที่น่าหนักใจคือ
งานวิชาการจะหาคนฟังที่ไหนได้ นอกจากคนที่เราเชิญ
ดังนั้นผมจึงได้รับการรัองขอให้หาคนมาฟังให้หน่อย
(อย่างน้อยก็ตรงส่วนงานของผม) อย่างน้อยสัก 10 คน
เผอิญผมมีนัดประชุมกับกรรมการกลุ่มผู้เลี้ยงผึ้งภาคเหนือตอนล่างแห่งประเทศไทย
ในวันที่ 28 กรกฎาคม 2548 พอดี ที่ห้องประชุมแถว อำเภอวังทอง
ปกติจะประชุมกันทั้งวัน
ส่วนผมจะขอกลับมาเสนอผลงานในช่วงบ่าย
พอได้รับการร้องขอ
ผมเปลี่ยนแผนให้มาประชุมกันที่มหาวิทยาลัยนเรศวร
เอาที่ห้องภาควิชาชีววิทยา
และรีบรวบรัดให้ประชุมให้เสร็จในตอนเช้า
เพื่อที่ตอนบ่ายเราจะได้ยกขบวนกันไปบริเวณสถานที่จัดงาน
งานนี้ยังได้รับการเลี้ยงอาหารกลางวัน เป็นงบประมาณเฉียด 1
พันบาทด้วย
ก่อนวันงานคือวันที่ 26-27 กรกฎาคม
ผมเดินสายไปเยี่ยมกลุ่มผู้เลี้ยงผึ้งที่สระบุรี
กว่าจะกลับถึงที่พักในมหาวิทยาลัย เกือบ 5 ทุ่มของคืนวันที่ 27
และ เช้าวันที่ 28 ต้องมาต้อนรับกลุ่มผู้เลี้ยงผึ้งที่มาประชุม
ผมคุมเวลาการประชุม พอเที่ยงปิดประชุม แล้วพากรรมการกลุ่ม ประมาณ 10
กว่าชีวิตไปทานข้าวที่ห้องอาหารไพลิน
จากนั้นเราก็ไปพร้อมกันที่ห้องเอกาทศรถ 5
ก่อนบ่ายโมงเล็กน้อย
ขณะรอเวลาเริ่มงาน
พวกเราชาวกลุ่มผู้เลี้ยงผึ้ง ได้ชมบรรยากาศของงาน
นับว่าจัดไปดีอย่างกลมกลืน เป็นตลาดนัดวิชาการ และมีร้านขายของต่าง ๆ
เช่น หนังสือ ของฝากต่าง ๆ รวมทั้งของขบเคี้ยว
แถมคนที่มาร่วมงานก็มีจำนวนมากพอสมควร เพราะจัดหลายห้องมาก
สรุปว่าเป็นงานยิ่งใหญ่งานหนึ่ง และเป็น
Highlight ของงาน 15
ปีแห่งการสถาปนามหาวิทยาลัยนเรศวร ในตอนเย็น คณะฯ
ของเราประกอบด้วย อาจารย์สมลักษณ์ วงศ์สมาโนดน์, นายเสวก พ่วงปาน,
นายวีรวัฒน์ เรื่องเพชร และนายศิริ บุตรชา ที่ปรึกษา
ประธานและสมาชิกกลุ่มผู้เลี้ยงผึ้งภาคเหนือตอนล่างแห่งประเทศไทย
ได้ไปร่วมงานเลี้ยงเล็ก ๆ ที่ดร.ศจี สุวรรณศรี ผู้จัดการคลินิกฯ
จัดเลี้ยงรับรองผู้แทนกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ
มีการพูดคุยกันในบรรยากาศสบาย ๆ เป็นกันเอง
ในตอนหนึ่งของบทสนทนานายวีรวัฒน์กล่าวขึ้นว่า
“พวกผมซึ่งเป็นเกษตรกรผู้เลี้ยงผึ้งตัวจริง
ปกติจะไม่กล้าเข้ามาที่มหาวิทยาลัย เพราะดูมันเหมือนยิ่งใหญ่
ที่ได้มาร่วมงานวันนี้ก็เพราะพวกอาจารย์ได้ให้โอกาส
ได้ให้มาร่วมงานและแสดงความคิดเห็น
ต่อไปนี้ผมไม่กลัวมหาวิทยาลัยอีกแล้ว
และจะขอมาพึ่งพาในองค์ความรู้ที่พวกอาจารย์ทั้งหลายในมหาวิทยาลัยมีกัน”
สมมุติว่าเกษตรกรส่วนใหญ่
มีความคิดอย่างที่นายวีรวัฒน์กล่าวไว้ทำนองนี้ งานคลินิกเทคโนโลยี
ควรจะเป็นที่พึ่งของชุมชนได้
แต่ต้องประชาสัมพันธ์ให้ถึงกลุ่มเป้าหมายให้ได้มากที่สุด
และในความเห็นส่วนตัวของผมการทำงาน ต้องเป็นเชิงรุก มีภาคบังคับบ้าง
อย่างงานนี้มีการเกณฑ์เกษตรกรผู้เลี้ยงผึ้งเข้าร่วมงาน
แต่งานนี้เขาก็ได้ประโยชน์และได้ตักตวงความรู้กันมาก
มีเกษตรกรอยู่คนหนึ่งเขายังไม่เคยเห็นตู้หลอมไขผึ้งของผม
เมื่อเขาได้มาฟังการอธิบายจากผมเขาจึงสนใจงานของผม
และเขาคงเอาตู้หลอมไขผึ้งนี้ไปใช้ในฟาร์มของเขาในอนาคตอันใกล้นี้
สรุปว่า งาน “นเรศวรวิจัย” ครั้งนี้จัดได้ยิ่งใหญ่
สมเป็นงานครบรอบ 15 ปีของมหาวิทยาลัย
และเป็นงานที่บูรณาการหล่อหลอมทั้งส่วนที่เป็นวิชาการและส่วนที่ไม่ใช่วิชาการให้เข้ากันอย่างกลมกลืน
มีคนได้รับอานิสงค์ของงาน มากกว่าที่คณะผู้จัดจะคาดคิด
หรืออาจจะเรียกว่า “ประโยชน์ที่ไม่คาดว่าจะได้รับ”
อย่างน้อยก็เป็นกลุ่มผู้เลี้ยงผึ้งของผมครับ.....
จบบริบูรณ์
นายสมลักษณ์ วงศ์สมาโนดน์
ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
กรรมการคลินิกเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยนรศวร
หัวหน้าหน่วยวิจัยผึ้งและผลิตภัณฑ์จากผึ้งและที่ปรึกษากลุ่มผู้เลี้ยงผึ้งภาคเหนือแห่งประเทศไทย
เริ่มเขียน 29 กรกฏาคม 2548 / แก้ไขเพิ่มเติม 10 สิงหาคม
2548