ชาดา ~natadee
ชาดา ชาดา ~natadee ศักดิ์รุ่งพงศากุล

เรื่องเล่าจากคุณปู่ ตอน...."คุณพ่อของผม" สำหรับคุณหลานมี่ค่ะ


 วานก่อนไปซื้อยา "เทพนิมิตร"  พบคุณย่า(อีกคน) ของน้องมี่ ท่านฝากคำสอนของคุณปู่น้องมี่มาให้ บอกว่า ดีมากๆ  ขอให้นำไปสอนน้องมี่ หรือ อย่างน้อยก็ให้น้องมี่ได้รู้ประวัติหรือเรื่องราวของตระกูลน้องมี่บ้าง....

เย็นวันนี้ ข้าพเจ้ามีเวลาหลังเลิกงานเปิดอ่านเนื่องจาก ไม่มีเครื่องถ่ายเอกสาร จึงใช้อุปกรณ์ถ่ายมาเป็นไฟล์ jpg ซึ่งก็ชัดบ้างไม่ช้ดบ้าง จึงใ้้ช้วิธีอ่านไปพิมพ์ไปแทนค่ะ

เริ่มจากหน้าแรกท่าน ใช้ชื่อเรื่องเล่านี้ว่า    "คุณพ่อของผม"  ที่ท่านเล่าไว้ดังนี้ค่ะ.......

                                                          “คุณพ่อของผม”

                        ใครจะเชื่อหรือไม่ว่าที่บ้านโปษ์กี่  บ้านที่ผู้เขียนเกิดนั้น มีคนอยู่ในบ้านนับรวมกันได้ 158 คน (นับจากรูปถ่ายภาพหมู่)  จนบางครั้ง ทำให้ผู้เขียนนึกไปว่า บ้านโปษ์กี่ คล้ายกับโรงเรียนประจำชั้นดีโรงเรียนหนึ่ง  ซึ่งมีคุณพ่อเป็นอาจารย์ใหญ่และเจ้าของผู้จัดการ รับผิดชอบทุกอย่างตั้งแต่การจัดหาเครื่องแต่งตัว อาหารและการเรียน แม่ทั้ง 8 คน เปรียบเหมือนครูผู้ช่วย ซึ่งทั้งโรงเรียนมีนักเรียนอยู่เพียง 20 คน ส่วนที่เหลืออีก 129 คนนั้น  ต่างก็ทำหน้าที่ของแต่ละคนที่ได้รับมอบหมายและรับเงินเดือนจากคุณพ่อแทบทั้งนั้น

                           คุณพ่อมักพูดเสมอๆ ว่า พวกเจ้าต้องช่วยพ่อประหยัด และอย่าบ่นกันว่าทำไมคุณพ่อไม่ซื้อไอ้โน่น ซื้อไอ้นี่ให้บ้าง ก็เพราะว่าพ่อเป็นผู้หาแต่ผู้เดียว  แต่มีอีกร้อยกว่าปากรอกิน รอใช้อยู่ข้างหลัง  ถ้าพ่อไม่รู้จักใช้หรือประหยัดละก้อ พวกเจ้าจะอดและลำบากกว่านี้แน่ การประหยัดและรู้จักใช้ในสิ่งที่จำเป็นนั้น  มันต้องหัดและเริ่มต้นแต่แรก  คือในขณะที่พวกเจ้ายังหาเงินไม่ได้และยังต้องพึ่งเงินพ่ออยู่นี้ พ่อขอให้เจ้าจงรู้จักประมาณตน  ก่อนจะใช้เงินต้องนึกว่ามันจำเป็นหรือไม่  สมควรที่จะซื้อหรือยัง ถ้าทุกครั้งที่เจ้าจะจับจ่ายเงินออกไปแต่ละครั้ง ถ้าคิดได้อย่างนี้มันจะทำให้เจ้าอดใจได้ นี่พ่อพูดให้ฟังในฐานที่เจ้ายังต้องใช้เงินของพ่ออยู่ แต่ถ้าเจ้าทำเงินเดือนเองได้แล้ว  พ่อไม่ว่าเชิญเจ้าใช้เงินของเจ้าไป  แต่พ่อเชื่อว่าถ้าเจ้าหัดระวังในการใช้เงินเสียแต่บัดนี้  เมื่อถึงเวลาที่เจ้าหาเงินเดือนเองได้เจ้าก็จะมีพอใช้  การหาเงินนั้น ไม่ค่อยสำคัญเท่ากับการรู้จักใช้เงิน  เจ้าลองคิดดูซิว่า  ถ้าคนเรารู้จักแต่ใช้  สมมุติว่าหาได้ 100 บาท แต่ใช้เสียเดือนละ 110  บาท  จะหาเงินเก่งอย่างไรก็ไม่เหลือเก็บ  แต่ถ้ารู้จักใช้เงิน  มีเงินเพียง 100 บาท แต่รู้จักใช้เพียง 80 บาท หรือ 90 บาท เดือนหนึ่งก็ยังเหลืออีก 10 บาท 20 บาท  การเก็บเงินก็ต้องเริ่มเก็บแต่เดือนแรก ถ้าเจ้าทำเงินเดือนได้ แต่ไม่เก็บแต่เดือนแรก เจ้าก็ไม่มีทางเก็บได้  ที่พอว่าไม่มีทางเก็บได้ก็เพราะว่า คนเราพอมีเงิน ก็พยายามหาทางจ่ายและพอจ่ายเข้าไปแล้ว แต่เดือนแรก  เดือนต่อไปก็ต้องจ่ายอีกไม่มีสิ้นสุด  ฉะนั้น เจ้าทำงานหาเงินเดือนเองได้แล้ว ผู้เขียนทำงานครั้งแรกได้เงินเดือน 1 พันบาท รับเงินเดือนครั้งแรกดีใจมากรีบนำมาฝากคุณพ่อ 500 บาท ผลลัพธ์คือ คุณพ่อเปิดบัญชีให้กับธนาคารเอเชียสาขา... พร้อมกับเอาเงินส่วนตัวของคุณพ่อร่วมเข้าบัญชีไปด้วยอีก 500 บาท ทุกเดือน ที่ผู้เขียนนำมามอบให้ แต่คุณพ่อมีข้อแม้อยู่ว่า ถ้าจะเบิกเงินออกมาพ่อจะต้องร่วมเซ็นชื่อสั่งจ่ายด้วยทุกครั้ง  ผู้เขียนได้เงินมาหลายหมื่นตลอดเวลา ที่ทำงาน จนถึงวันสุดท้ายที่คุณพ่อจากไป

              คุณพ่อเป็นคนมีเมตตากรุณา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เมื่อสิ้นบุญ คุณปู่คุณย่าและพี่ชายอีก 2 คนไปแล้ว  คุณพ่อซึ่งได้รับมอบหน้าที่ให้ดูแลน้องและบ้านซึ่งใหญ่โตคล้ายโรงเรียนหรืออาจจะใหญ่กว่าบางโรงเรียนเสียอีก  จึงต้องรับภาระดูแลรักษา บูรณะซ่อมแซมและสุดท้ายคือ รับผิดชอบต่อผู้ที่เข้ามาอยู่อาศัย จะเป็นญาติ หรือลูกของญาติ สามีภรรยาของญาติก็ตาม  แม้แต่คนใช้ซึ่งหอบเอาพ่อแม่หรือสามีภรรยา จะมีลูกติดมาหรือไม่ หรือจะมาเกิดกันใหม่ในบ้านก็ตาม คุณพ่อดูเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ไปเสียหมด  จนครั้งหนึ่งคนใช้ผู้ชายขอเงินกลับไปเมืองจีนไปรับภรรยา ลูก น้องชาย และมารดาของตนมาพักอยู่ด้วยที่บ้านโปษ์กี่

                   คุณพ่อไม่เคยปล่อยให้พวกเราอดอยาก  ถึงแม้ว่าคุณพ่อจะต้องมีภาระเลี้ยงดูอยู่ร้อยกว่าชีวิตก็ตาม  เสาร์-อาทิตย์ คุณพ่อจะใช้เวลาให้กับลูกๆ ทุกคน คุณพ่อจะพยายามตื่นแต่เช้า ก่อนคุณพ่อตื่น พวกเราจะเล่นอะไรกันก็ได้ แต่ต้องระวังไม่ให้มีเสียงดังจนทำให้คุณพ่อตื่นได้  ปกติแล้วคุณพ่อไม่ค่อยจะได้ตีลูก  คุณพ่อจะใช้คำพูดชี้ให้เห็นสิ่งใดผิด  สิ่งใดถูก อะไรดี  อะไรชั่ว  ส่วนผู้เขียนมักจะโดนท่านฟาดเสียก่อนแล้วจึงจะสั่งสอนที่เป็นเช่นนั้นอาจจะเป็นเพราะพร่ำบอกจนเบื่อเสียแล้วก็ได้

                   เมื่อสมัยเป็นเด็กชาวบ้านแถวบ้านเรียกผู้เขียนและน้องๆ ว่า เซียน ผู้เขียนโตกว่าเพื่อเลยต้องรับหน้าที่เป็นหัวหน้าเซียนหรือที่ภาษาจีนเรียกว่า ตั้วเซียน  คือ เซียนที่ 1  ส่วนเซียนที่ 2 และที่ 3 นั้น คือ ยี่เซียน ซาเซียน นั้น มีน้องหมวก (สมวงศ์) และน้องเม่น(สมศักดิ์)  รับหน้าที่ไป คำว่าเซียนนั้นในภาษาจีนคงจะเข้าใจว่าเป็นผู้วิเศษ คือสามารถเหาะเหินเดินอากาศ  ลูบหลังคนเจ็บป่วยเข้าก็หายและเดินได้  ส่วนเซียนทั้งสาม  ทีผู้เขียนจะกล่าวต่อไปนี้เหาะไม่ได้ และถ้าคนป่วยเห็นเข้าอาจจะตายหัวใจหยุดเต้นไปเลยก็ได้  เพราะไม่ได้เป็นผู้วิเศษอะไร  แต่ที่ชาวบ้านเขาขนานนามว่าอย่างนี้ก็เป็นเพราะว่า เมื่อเซียนทั้งสามไปถึงไหนก็หมายความว่าฉิบหายที่นั่น  คือตั้งแต่ออกเดินหรือวิ่งจะมีเสียงดังวิ่งไปตามรั้วสังกะสี ก็จะมีเสียงสังกะสีดัง  ถ้าเป็นรั้วบ้านของเราก็ดีไป แต่ถ้าเป็นรั้วบ้านคนอื่นก็มักจะมีเสียงด่าตามหลังมาด้วย  เจ้าคนที่ด่ามาก็เพราะไม่ทราบว่าเซียนมา เพราะถ้าทราบแล้วจะไม่พูดเลย ถ้าจะด่าก็คงด่าในใจ เพราะถ้าด่าให้เซียนได้ยิน  เซียนเกิดโมโหแล้วด่าจะไม่เป็นสุขอีกเลย

                      คุณพ่อปกครองลูกๆ ด้วยความยุติธรรม และไม่มีความลำเอียง คุณพ่อจะพูดกับลูกผู้หญิงว่าหนู และจะใช้กับลูกผู้ชายว่าเจ้า  คุณพ่อจะไม่ใช้คำหยาบคายหรือด่าออกมาให้ลูกได้ยิน  อย่างโมโหก็ว่าออกมาเป็นภาษาอังกฤษว่า “แดม” ซึ่งสมัยเด็กๆ เราก็ไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็รู้ว่าคุณพ่ออารมณ์เสียแล้ว สมัยสงครามมีรถยนต์แต่ไม่มีน้ำมันใช้  ทุกคนจึงใช้แต่รถจักรยาน คุณพ่อก็ซื้อให้ขี่เล่น  ของมีค่าสำหรับลูกผู้หญิงก็ซื้อให้ครั้งละ 10 ชิ้น เวลาจะไปงานใหญ่ๆ  ก็เอามาให้ขอยืมได้แต่เสร็จแล้วต้องคืน  ผู้เขียนจำได้ว่าเคยขอหลายครั้ง แต่ถ้าได้คนอื่นที่ไม่ได้ขอก็ได้ด้วย  ผู้เขียนอยากได้นาฬิกาข้อมือ คุณพ่อก็ฝากเขาซื้อมาจากฮ่องกงเสียทีเดียว 10 เรือน ลูกผู้หญิงได้กันมากมาย แต่ลูกผู้ชายไม่ค่อยได้อะไรเลย  พอออกปากครั้งไร  คุณพ่อจะว่าผู้ชายไม่จำเป็นอะไร  เคยออกปากขอแหวนโดยใช้เครื่องหมาย พ.พ. ซึ่งเป็นตัวย่อมากจาก “พระยาพิพัฒนธนากร”  ได้เรียนให้คุณพ่อทราบว่าจะได้เป็นเครื่องหมายว่าลูกทั้ง 10 คนนี้เกิดจากคุณพ่อ  แต่ขอให้มีเพชรอยู่ข้างละเม็ดคุณพ่อก็เห็นดีด้วย  ได้พูดว่าเป็นความคิดที่ดีแต่ไม่ดีคือมีเพชรข้างละเม็ด  พ่อไม่เห็นด้วย  เพราะอะไรนั้นคุณพ่ออ้างมาเสียจนพูดต่อไปไม่ได้ที่สุดได้แต่แหวนทอง  คุณพ่อได้สั่งให้ผู้เขียนไปจ้างเขาทำมา 10 วง  หมดค่าแหวนไปวงละ 550 บาท

                 คุณพ่อมีความสามารถในการปกครองคน และการที่คุณพ่อมีความสามารถมีแม่ให้พวกเราได้ทีเดียว 8 คน และยังอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน  กินข้าวหม้อเดียวกันนั้น เป็นสิ่งมหัศจรรย์ลือเลื่องไปทั่วสารทิศ  วันหนึ่งขณะที่ผู้เขียนนั่งอยู่ที่สโมสรเพี่ยน้ำ  ซึ่งเป็นที่ทำงานของคุณพ่อด้วย ได้มีพ่อค้าจีนคนหนึ่งได้มาปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า  ท่านเจ้าคุณทำอย่างไรถึงเอาลูกเมียอยู่บ้านเดียวกันได้ตั้งหลายคน  ส่วนผมมี 4 คน ต้องปลูกบ้านให้อยู่กันคนละมุมเมือง  ยังไม่วายทะเลาะกัน คุณพ่อก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี  พร้อมกับเล่าให้ฟังต่อหน้าผู้เขียนว่า “ของผมมี 8 คน ลูก 20 คน คนในบ้าน 100 กว่าคน อย่านึกว่าจะสงบเงียบอย่างที่คนนอกเข้าใจ  มันก็เหมือนลิ้นกับฟัน  มันก็ต้องมีกระทบกันบ้าง  ถ้ามันเงียบสงบดีถือว่าผิดปกติมันสำคัญอยู่ที่คนกลางเท่านั้นที่จะให้ความยุติธรรมได้แค่ไหน  อย่าลำเอียงไปทางโน้นทางนี้ก็ไม่มีเรื่องอย่างว่า  สั้นและได้ใจความ และก็เป็นคำตอบที่พอใจแก่พ่อค้าจีนเป็นอย่างมาก

                  เสียโทรศัพท์ดังขัดจังหวะซะแล้วค่ะ เสียดายที่ยังอ่านไม่จบ(เยอะมากค่ะ)  ไว้มาพิมพ์แล้วอ่านพร้อมกันวันหน้านะคะ

HAPPY  NEW   YEAR  2013  วันนี้น่าจะไม่ช้าเกินไปนะคะ

หลับฝันดี ราตรีสวัสดิ์ค่ะทุกท่าน

ChAdAiNg......

04 -  01 -  2013




เริ่มจาก กลอนบทนี้แล้ว ทำให้อยากอ่านต่อ

หมายเลขบันทึก: 515147เขียนเมื่อ 4 มกราคม 2013 20:30 น. ()แก้ไขเมื่อ 10 มิถุนายน 2013 19:21 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

ขอบคุณมาก สำหรับบทความดีดี นี้นะคะ 


            


                   (ภาพจากInternet)

อ.วัส.  สวัสดีปีใหม่ค่ะ. 

ต้องเป็นคนสำคัญแน่ๆ เลยค่ะ555

มีมี่คงจะภาคภูมิใจกับบรรพบุรุษของตัวเอง (=^^=)  

สวัสดีปีใหม่ค่ะน้องอิง หลานมี่สบายดีกันนะคะ  นานๆ มาพบกันที่นี่ อ่านเรื่องเล่าเพลินเลย..


พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท