คนเราทำงานในที่เดียวกัน ทำงานอย่างเดียวกัน แต่บางครั้งผลที่ออกมาอาจจะแตกต่างกันก็ได้...
คำถาม....ที่หลายคนเริ่มครุ่นคิด...คือ
คำตอบ.... คือ นั่นเป็นเพราะ....
มาดูตัวอย่างกันดีกว่า...
พนักงานเปลรับ-ส่งผู้ป่วยผ่าตัดคนที่ 1 ชื่อนายเฉื่อยเข็นเปลด้วยสีหน้าเฉื่อยชา ท่าทางเนือย ๆ ไม่กระฉับกระเฉง ไม่พูดไม่จากับผู้ป่วย เวลามีเจ้าหน้าที่ทักทายว่าจะไปไหน ก็จะตอบอย่างเหนื่อย ๆ ว่า " กำลังเข็นเปลอยู่"
พนักงานเปลรับ-ส่งผู้ป่วยผ่าตัดคนที่ 2 ชื่อนายเฉย เข็นเปลด้วยสีหน้าปกติไม่บึ้งตึงแต่ก็ไม่ยิ้มแย้ม ท่าทางขณะเข็นเปลกระฉับกระเฉงขึ้นมาหน่อย เวลามีเจ้าหน้าที่ทักทายว่าจะไปไหน ก็จะตอบว่า " กำลังพาผู้ป่วยไปผ่าตัดครับ"
พนักงานเปลรับ-ส่งผู้ป่วยผ่าตัดคนที่ 3 ชื่อนายชอบ เข็นเปลด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ท่าทางขณะเข็นเปลกระฉับกระเฉง แคล่วคล่องว่องไว เวลามีเจ้าหน้าที่ทักทายว่าจะไปไหน ก็จะตอบด้วยสีหน้าแช่มชื่นว่า " กำลังพาผู้ป่วยไปผ่าตัดเพื่อให้หายจากการเจ็บป่วย มีความสุขสบายครับ"
เห็นมั๊ยคะว่า...ทั้งที่ทำงานอย่างเดียวกัน คือ
การเข็นเปลรับ-ส่งผู้ป่วยไปผ่าตัด แต่ว่าทั้ง 3 คนมีความรู้สึกต่างกัน
ผลจึงต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นผลที่ตัวงานหรือผลทางด้านจิตใจ มาลองดูที่รายละเอียดอีกที
พนักงานคนที่ 1 นายเฉื่อย เห็นว่างานของเขาเป็นเพียงพนักงานเปล ก็เลยทำไปงั้น ๆ ไม่กระตือรือร้น ผู้ป่วยก็ไม่ประทับใจ
พนักงานคนที่ 2 นายเฉย ดีขึ้นมาหน่อยพอจะมองออกว่าพาผู้ป่วยมาผ่าตัด เห็นกว้างกว่าคนแรก ผู้ป่วยวางใจนิ้ดส์นึง แต่ก็ยังไม่ประทับใจ
พนักงานคนที่ 2 นายชอบ ทำงานด้วยความเต็มใจ กระฉับกระเฉง มีความสุข เพราะเขารู้สึกว่างานที่กำลังทำนั้นมีคุณค่า ขณะเข็นเปลก็มีการพูดคุย ปลอบใจผู้ป่วยเพื่อให้ผู้ป่วยหวาดกลัวน้อยลง ผู้ป่วยก็เกิดความประทับใจในบริการ
ผลงานและความรู้สึกที่แตกต่างกันของคน 3 คน ขึ้นอยู่กับ...
นายชอบ เป็นคนที่มองได้ไกล...
ว่าหน้าที่หรืองานที่เขากำลังทำอยู่ไม่ใช่เพียงการเข็นเปลอย่างเดียว...
แต่เป็นการช่วยให้ผู้ป่วยได้มาผ่าตัดแล้วจะหายจากโรค...
ผู้ป่วยมีความทุกข์จากการเจ็บป่วยและหวาดกลัวต่อการผ่าตัด การพูดคุยจะช่วยปลอบใจและทำให้ผู้ป่วยหวาดกลัวและวิตกกังวลน้อยลง เขาจะต้องทำให้ผู้ป่วยได้รับบริการที่ดีและพึงพอใจ
ซึ่งเมื่อเขาคิดได้เช่นนี้ เขาจะรู้สึกเหมือนได้ทำบุญ
ก็เลยมีความสุขกับการทำงาน
ไม่ได้ถือว่าการเข็นเปลเป็นเพียงแค่ทำงานเพื่อให้ได้เงิน
จึงเป็นงานที่มีความหมายต่อจิตใจ มีความสุขกับการทำงานกับได้ช่วยเหลือผู้ป่วย
เราแต่ละคน จะเป็นหมอ เป็นพยาบาล นักวิชาการ นักวิจัย นักสังคมสงเคราะห์ คนครัว คนสวน หรือพนักงานก็ดี แต่ละคนแม้ว่าจะเป็นเพียงจุดเล็ก ๆ แต่ก็มีส่วนสร้างสังคม สร้างประเทศชาติ และสร้างโลก เราจึงเป็นฟันเฟืองเล็ก ๆ ที่กำลังทำงานอันยิ่งใหญ่ เพื่อสร้างให้สถาบันฯมีคุณภาพ
ถ้าเราแต่ละคนตระหนักว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่นี้เป็นงานยิ่งใหญ่ มีคุณค่าที่งดงามต่อองค์กร ต่อสังคม เราจะทำงานอย่างมีความสุขมาก และเราจะภาคภูมิใจในสิ่งที่เราทำ และไม่ขัดเขินกับกับภาพลักษณ์ที่สังคมมองว่าเราเป็นนางฟ้าจริง ๆ
<p></p>
ดิชั้นเป็นคนหนึ่งที่ภูมิใจมาก กับอาชีพที่ทำอยู่
ชอบข้อเขียนนี้มากค่ะ
มีคนบอกว่า เวลาทำงาน ต่อให้เหนื่อย ยากลำบากยังไง พยายามอย่าเอ๋ยบอกว่าตนเองเหนื่อย เพราะมันจะเหมือนเป็นการสะกดจิตใจของตนเองให้รู้สึกเหนื่อยเข้าไปอีก พยายามหาความสุขในงาน หรือพักผ่อนให้ผ่อนคลายแล้วกลับมาทำงานใหม่ จะดีกว่านะคะ ^__^
ได้รถพยาบาล และนางพยาบาลจากพี่เล็ก ทำให้อาการดีขึ้นแล้วล่ะคะ (แต่ป่วยเป็นอาทิตย์เนี่ย มึนหัวเลย)
คุณศุภลักษณ์ คะ
เวลาเหนื่อยมากๆไม่ว่าทางกายหรือใจ พอนึกถึงคุณค่าของงานที่ทำ ก็ช่วยให้จิตใจกระชุ่มกระชวย หายเหนื่อยได้เหมือนกันค่ะ
หนูเล็กสื่อสารหน้าเจ้าเฉื่อย เฉย ชอบ ได้ดีมากค่ะ อ่านแล้วนำไปเป็นข้อคิดดีค่ะ
อ่านแล้วทำให้อารมณ์ดีจังเลยค่ะ
เข้าใจคิดและเปรียบเทียบทำให้ต้องกลับมาทบทวนตัวเองว่าเราเองกำลังทำหน้าแบบไหนอยู่
ต้องแก้ไขให้เป็นแบบนายชอบมั่งแล้วล่ะ