เพื่อจะได้มองเห็นภาพของคำว่า เรื่องสั้น ชัดเจนขึ้น ขอนำ “ลักษณะของเรื่องสั้น” ที่ ชนะ วชกุล. (2524) กล่าวถึงไว้ว่า เรื่องสั้นมีลักษณะดังนี้
“1.มีโครงเรื่อง หมายถึงกลวิธีในการแสดงพฤติกรรมในลักษณะขัดแย้งกันในระหว่างตัวละคร หรือขัดแย้งกับตัวเอง หรือขัดแย้งกับสังคม หรือขัดแย้งกับธรรมชาติ เป็นจุดเริ่มต้นของความยุ่งยากให้ผู้อ่านฉงน อยากรู้ว่าจะเกิดมีอะไรต่อไป พยายามทำให้ผู้อ่านสนใจใคร่รู้ แล้วดำเนินเรื่องให้จบลงด้วยผลอย่างใดอย่างหนึ่ง
2. มีจุดหมายของเรื่องอย่างเดียวกัน และมีผลอย่างเดียวกัน คือผู้เขียนจะต้องเสนอแนวคิดหรือแก่นเรื่อง (Theme) เพียงอย่างเดียว อาจจะเป็นทรรศนะหรือความคิดแง่ใดแง่หนึ่งของชีวิตเพียงอย่างเดียว เช่น “ความไม่แน่นอนของชีวิตมนุษย์” ผู้เขียนจะต้องเขียนชะตาคนเพียงคนเดียว
3.มีตัวละครน้อย ตัวละครที่แสดงบทบาทสำคัญที่สุดควรมีตัวเดียว แล้วมีตัวละครประกอบอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับตัวเอก เพื่อให้เรื่องดำเนินอย่างรวดเร็ว รวบรัด โดยปกติไม่ควรมีตัวละครเกิน 5 ตัว ซึ่งจะต้องสนับสนุนตัวเอกให้เด่นชัดขึ้นเท่านั้น
4.ใช้เวลาน้อย ระยะเวลาในการท้องเรื่อง ไม่ควรใช้เวลานานกว่าจะจบเรื่อง อาจมีระยะเวลาหนึ่งวัน หากใช้เวลานานอาจทำให้การติดต่อสืบเนื่องของเหตุการณ์ขาดตอนเรื่องไม่ชัดเจน ยิ่งใช้เวลาน้อยเท่าใด เรื่องยิ่งชัดขึ้น
5.มีขนาดสั้น การเขียนเรื่องสั้นจะพรรณาบรรยายยืดยาดไม่ได้ ต้องใช้คำอย่างประหยัด มุ่งตรงไปตรงมา ความสั้นมักจะกำหนดเป็นคำ กล่าวกันว่า ขนาด 4,000 ถึง 5,000 คำ เป็นเรื่องเสนอพอเหมาะ (4 ตัวอักษรคิดเป็น 1 คำ) ในเรื่องของจำนวนคำนี้มิได้จำกัดลงไปอย่างแน่นอน บางเรื่องอาจใช้ 1,500 คำ แต่บางเรื่องอาจใช้ถึง 7,000 คำ หรือ 10,000 คำ จึงทำให้มีการเรียกชื่อ เรื่องสั้นที่สั้นกว่าธรรมดาว่า “เรื่องสั้น-สั้น” (Short-Short Story) และเรื่องที่มีขนาดยาวกว่าธรรมดา เรียกว่า “เรื่องสั้นขนาดยาว” (Long Short Story)
6.มีความกระชับรัดกุมทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินเรื่อง การพรรณาฉาก บทสนทนา ฯลฯ ผู้เขียนต้องอาศัยกลวิธีประหยัดคำ คือ ใช้คำให้น้อย แต่ได้ความมากที่สุด เนื้อหาของเรื่องต้องแน่นและรสของเรื่องอยู่ในสภาพที่เข้มที่สุด
มาถึงตรงนี้ก็พอที่จะมองเห็นภาพงานของปิ่นได้แล้วว่า เรื่อง “กระรอกน้อยของฉัน”นั้น ปิ่นเขียนจากประสบการณ์จริงที่เกิดขึ้นกับปิ่น โดยใช้วิธีการเล่าเรื่อง แบบเรื่องสั้น-สั้น (Short-ShortStory) เพราะเรื่องราวที่ปิ่นเขียนเล่านั้น ผู้อ่านอ่านภายในเวลาไม่เกิน 10 นาทีก็จบ การบรรยายไม่ยืดยาดใช้คำประหยัด ตัวละครที่แสดงบทบาทสำคัญมีเพียงปิ่น (ผู้เล่า) กับกระรอกน้อย ปิ่นวางโครงเรื่องที่เห็นลักษณะความขัดแย้งในตัวของปิ่นเอง กลวิธีการเล่าเรื่องแบบนี้เป็นกลวิธีการเล่าแบบใช้บุรุษที่หนึ่งซึ่งเป็นตัวละครสำคัญในเรื่องเป็นตัวเล่า โดยใช้คำแทนตัวผู้เล่าว่า “ฉัน” และมีจุดหมายของเรื่องหรือแก่นเรื่อง (Theme) ที่สอดรับกับพุทธพจน์ที่ว่า “ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์” ถึงแม้ปิ่นจะไม่เขียนออกมาตรงๆ แต่เธอเขียนบอกเป็นนัยๆ ว่า “ฉันคิดได้ว่า ความรักความเสียใจนั้นเป็นอย่างไร”
สำหรับกลวิธีการเล่าเรื่องนั้น ทองสุข เกตุโรจน์ (2519) ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า
กลวิธีในการเล่าเรื่องแบ่งออกได้เป็น4 วิธีดังนี้
1.ใช้บุรุษที่หนึ่งซึ่งเป็นตัวละครสำคัญในเรื่องเป็นผู้เล่า โดยใช้บุรุษที่หนึ่งคือ “ผม” “ฉัน” ”ดิฉัน” “ข้าพเจ้า” และ “เรา” อันเป็นตัวละครสำคัญเล่าเอง เป็นที่นิยมใช้กันมากพอสมควร ข้อดีที่เห็นได้ชัดเจนในการใช้วิธีนี้คือ ทำให้ผู้อ่านเห็นจริงเห็นจัง เพราะเชื่อว่าเรื่องเล่านั้นเกิดขึ้นแก่ผู้ประพันธ์จริงๆ
2.ใช้บุรุษที่หนึ่งซึ่งเป็นตัวละครรองในเรื่องเป็นผู้เล่า ตัวละครรองที่เป็นผู้เล่านี้ มักจะเป็นผู้ที่ใกล้ชิดกับตัวละครสำคัญ เพื่อจะได้เล่าเรื่องราวหรือแม้แสดงความคิดเห็นที่ตนได้สังเกตหรือได้ฟังมาจากตัวละครสำคัญได้ การใช้วิธีที่สองนี้ดีกว่าวิธีที่หนึ่ง ตรงที่ตัวละครรองซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้เล่า สามารถบรรยายการกระทำ อุปนิสัยใจคอ คุณงามความดีของตัวละครสำคัญ ซึ่งถ้าหากตัวละครสำคัญนั้นเป็นผู้เล่าเสียเอง ก็ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นเช่นนั้นได้ นอกจากนี้ตัวละครรองยังสามารถเล่าเรื่องของตัวละครอื่นๆ ตามที่ตนได้ยินได้ฟังได้เห็นมาได้ทุกตัวทุกแง่ทุกมุม ผู้เล่าประเภทนี้เหมือนกับคนกลางที่ได้ยินได้ฟังได้เห็นการสนทนา การทะเลาะวิวาท ฯลฯ ของบุคคลอื่น แล้วนำเรื่องที่ตยได้ยินได้เห็นนั้นไปเล่าให้คนอื่นๆ ฟังอีกต่อหนึ่ง
3.ผู้ประพันธ์ในฐานะที่เป็นผู้รู้แจ้งเห็นจริงทุกอย่างเป็นผู้เล่า วิธีนี้เป็นวิธีที่นิยมกัน เพราะผู้ประพันธ์สามารถเล่าเรื่องของตัวละครได้ทุกตัว ไม่ว่าตัวละครนั้นๆ จะคิดเรื่องอะไร รู้สึกอย่างไร และทำอะไรทั้งในที่ลับและในที่แจ้ง ผู้ประพันธ์อาจจะเปิดเผย ความคิดความอ่านของตัวละครทั้งหมดก็ได้ หรือปิดบังความคิดความอ่านนั้นไว้บางส่วน หรืออาจจะปิดบังไว้สักระยะเวลาหนึ่งแล้วค่อยเปิดเผยเมื่อถึงเวลาที่ต้องการก็ได้ ยิ่งกว่านั้นบางคราวผู้ประพันธ์อาจจะสอดแทรกคำพูดของตนเข้ามา หรืออาจให้ความเห็นเกี่ยวกับความประพฤติของตัวละครบางตัวก้ได้
4. ผู้ประพันธ์ในฐานะที่เป็นผู้สังเกตการณ์เป็นผู้เล่า หน้าที่ของผู้ประพันธ์ในวิธีที่สี่นี้ ก็คือรายงานเฉพาะสิ่งที่ตนเห็นหรือได้ยินได้ฟังได้สังเกตการสนทนาหรือการกระทำของตัวละครเท่านั้น ไม่อาจทราบความรู้สึกและความคิดของตัวละครได้เลย ผู้ประพันธ์มีหน้าที่ประหนึ่งผู้สังเกตการณ์ รูปของเรื่องสั้นหรือนวนยายที่ใช้กวลวิธีนี้จึงคล้ายกับบทละครมาก...”
ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นเป็นเพียงทฤษฎีหรือหลักการที่ผมอาศัยเพียงแค่เป็นเครื่องบอกทางว่า ปิ่นเดินมาได้แค่ไหน เพียงใด มีอะไรที่ผทพบเห็นสิ่งที่ซ่อนลึกในตัวเรื่องราวที่ปิ่นเขียนบ้าง เพื่อจะช่วยเหลือให้ปิ่นเดินไปข้างหน้าได้อย่างถูกทาง
ผมมองเห็นภาพงานของปิ่น ดั่งที่ได้เขียนมาแล้วข้างต้น ผมนึกต่อไปว่า ผมจะช่วยเหลือปิ่นได้อย่างไรบ้าง ผมมีสูตรการทำงานของผมว่า
อ่าน (งานของเด็กให้) ออก
บอก(สิ่งที่อ่าน) ได้
ใช้เป็น (เครื่องมือการชี้แนะ)
เห็นแวว (เห็นศักยภาพของผู้เรียนคนนั้น)
ผมสำนึกอยู่เสมอว่า หน้าที่ของครูคือ ผู้ช่วยเหลือในการพัฒนาผู้เรียนเป็นรายบุคคล ผมมีความเชื่อว่าไม่มีเด็กโง่ แต่มีเด็กที่ไม่เก่งไปทุกอย่าง เด็กแต่ละคนจะมีความดี ความเก่ง ความถนัดอย่างน้อยหนึ่งอย่าง และอย่างหนึ่งที่เขาถนัดนั้น ถ้าได้รับการพัฒนาเขาจะเก่ง แล้ว้าเขาเก่งอย่างหนึ่งอย่างใด เขาก็จะพัฒนาตัวเองให้เก่งเพิ่มขึ้นได้ในสิ่งนั้นหรือสิ่งที่ใกล้เคียงกัน
การอ่านงานของเด็กจนทะลุเข้าไปในมิติของเด็กคนนั้น จะใช้ให้ครูมีข้อมูลในการใช้เป็นเครื่องมือชี้แนะผู้เรียนให้พัฒนาต่อไปตามแววที่เห็น แล้วก็บอกให้เด็กรู้ตามสิ่งที่เราพบเห็นพร้อมกับกระตุ้น หรือ เร้า ให้ผู้เรียนมีความมั่นใจที่จะฝึกฝนต่อไป
ผมใช้วิธีแสดงความคิดเห็นของผมลงไปในส่วนที่ว่างของงานเด็ก หรือเพิ่มหน้ากระดาษให้ในกรณีที่แสดงความคิดเห็นยาว การเขียนข้อความสั้นๆนั้นเพื่อเร้าใจผู้นั้นให้คิดทำงานต่อ แต่การเขียนแสดงความคิดเห็นยาวนั้นเพื่อ บอกสิ่งที่พบเห็นจากการอ่านงานของเขา แล้วชี้แนะแนวทางให้เขาเดินต่อไป
กับงานของปิ่น ถ้าผมเขียนสั้นๆ ผมจะเขียนว่า
ดีใจที่ได้อ่านเรื่อง “กระรอกน้อยของฉัน” ปิ่นเขียนเล่าเรื่องจากประสบการณ์เก่งมาก ครูเชื่อว่า ปิ่นสามารถเขียนเรื่องแบบนี้ให้ครูอ่านได้อีก ครูคอยอ่านเรื่องต่อไปของปิ่นอยู่นะ |
ถ้าจะเขียนแบบยาวๆผมจะเขียนว่า
เรื่อง “กระรอกน้อยของฉัน” ครูอ่านแล้วชอบมาก ชอบตรงที่ปิ่นเขียนแบบ “เล่าเรื่องจากประสบการณ์จริง” โดยที่ปิ่นนำเรื่องที่ปิ่นพบเห็นด้วยตนเอง มาเขียนเล่าให้ผู้อ่าน อ่านด้วยภาษาง่ายๆ ตรงไปตรงมากะทัดรัด แต่สามารถรู้เรื่องที่อ่านนั้นได้อย่างดี นี่คือ ความเก่งของปิ่น โดยเฉพาะวิธีการเขียนเรื่องของปิ่นเรื่องนี้ ปิ่นเขียนแบบเขียนเรื่องสั้น-สั้น (Short-Short Story) ซึ่งผู้อ่านสามารถอ่านจบภายในเวลา 5-10 นาที จุดเด่นของเรื่องที่ปิ่นเขียนอีกอย่างหนึ่งคือ ปิ่นแทรกคุณธรรมเข้าไปในเรื่อง โดยไม่ได้บอกเล่าอย่างตรงไปตรงมา แต่ผู้อ่านอ่านแล้วต้องคิดและคิดได้หลายแง่มุมกับข้อความที่ปิ่นเขียนว่า “จังหวะนั้นมันทำให้ฉันคิดได้ว่า ความรัก ความเสียใจมันเป็นอย่างไร” นี่คือเสน่ห์ของเรื่องนี้ ปิ่นลองชวนคุณพ่อออกเดินตามถนนในหมู่บ้านเวลาเช้ามืด พบเห็นอะไรแล้วนำมาเขียนเล่าให้เพื่อนๆ อ่าน ครูก็คอยอ่านด้วย หรือปิ่นไปเที่ยวที่ไหนก็ตามลองนำมาเขียนเล่าเรื่องราวเหล่านั้นให้เพื่อนๆ อ่าน ครูเชื่อว่าหนูเขียนได้ดี ครูคอยอ่านเรื่องของเธออยู่นะ อ่านเป็นเล่มได้ที่นี่ครับ https://docs.google.com/docume... |
เอกสารอ้างอิง
ชนะ เวชกุล.การเขียนสร้างสรรค์. กรุงเทพฯ สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์ 2524
ทองสุข เกตุโรจน์.การเขียนแบบสร้างสรรค์. กรุงเทพฯ มหาวิทยาลัยรามคำแหง 2519
นานๆ จะได้อ่านบทความดีๆ ของท่านอาจารย์ชาตรี สำราญ ที่มีความเป็น "ครู" จริง ทำให้คนรู้จัก "ครู"
อ่านให้มากนะครับ คนที่กำลังประกอบอาชีพครู ต้องอย่างนี้ครับ "ครู" ที่แท้จริง เขาต้องมีหลักในการสอน มีขั้นตอนในการฝึก ไม่ใช่สักแต่ว่าอธิบายตามหนังสือแบบเรียน แล้วสั่งให้ทำ โดยไม่ต้องฝึกตามลำดับขั้นตอนการเรียนรู้เลย
ขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างมาก ที่ยังมีเมตตาพยายามแนะนำคนที่มีอาชีพครู แต่ไม่ยอมใฝ่รู้และสงสารเด็กให้มากขึ้น และไม่ยอมเข้าใจว่่า "ความเป็นครูนั้นอยู่ที่ "ฝึก" มิใช่ "สอน"
อ่านบทความของอาจารย์แล้วทำให้มองเห็นกระบวนการที่มีความหมายสำหรับเด็กๆ การเสียสละทุ่มเท
เพื่อให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีความสุขอิ่มอร่อยกับการเรียน ทำให้มีกำลังใจมากขึ้น