เป็นคำกล่าวที่ได้มาจากสมัยทำงานที่ อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ที่นั่นเป็นพื้นที่ของผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย ที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ พคท.ในประเทศไทย ไม่กล่าวในรายละเอียดแต่จะย้อนคำอธิบาย ลัทธิเฉลี่ยสมบูรณ์ที่นั่น
ก่อนที่ ชาวไทโซ่จะออกจากการเข้าร่วมปฏิวัติประเทศกับ พคท. มาเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยนั้น ทางกองทัพสัญญาว่าราชการจะจัดหาที่ดินทำกินให้ และมีเงินทุนช่วยเหลือในการกลับลงมาจากป่าเขามาทำมาหากินกันอย่างสงบสุข
นานนับสิบปี รัฐบาลเปลี่ยนไปหลายยุค คำมั่นสัญญาก็ไม่พบเห็น....
จนกระทั่งถึงรัฐบาลท่านพลเอก สุรยุทธ์ จุฬานนท์ นายกรัฐมนตรีสมัยนั้น ท่านรีบเข้ามาจัดการเรื่องนี้ทันที ทำการประชุมสำรวจรอบเทือกเขาภูพานว่า พี่น้องผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยที่ออกมาจากป่าที่ไม่ได้รับการเยียวยาจากกองทัพ จากราชการนั้นมีใครบ้าง จำนวนเท่าไหร่ ให้รีบหารายชื่อแล้วท่านก็จัดสรรงบประมาณลงมามอบให้สหายที่มีชื่อตั้งแต่ออกมาจากป่าครั้งนั้น ซึ่งเมื่อสำรวจก็พบว่ามีความลักลั่นกัน ผู้ออกมาจากป่าไม่ได้ลงชื่อไว้ทุกคน ทำให้ทางราชการก็ไม่สามารถมอบเงินให้ได้ เพราะไม่มีชื่อ ทางราชการก็มีกฎ ระเบียบ ก็ต้องมอบเงินให้ได้เฉพาะผู้ที่มีรายชื่อเท่านั้น
เป็นเรื่องหละซี...คนที่ไม่ได้เงินก็เอะอะ โวยวายท่าทางจะทำให้เกิดการแตกแยกในชุมขนขึ้นอีกแล้วเพราะความไม่ลงตัวในเรื่องนี้ แต่แล้ว เกิดปรากฏการณ์ของลัทธิเฉลี่ยสมบูรณ์ขึ้น คือ สหายที่ลงชื่อและได้เงินมานั้นทุกคนเอามากองไว้ตรงกลาง แล้วเอาจำนวนสหายทั้งหมด ทั้งที่ลงชื่อไว้และได้เงินมา กับสหายที่ไม่ได้ลงชื่อ รวมกันได้เท่าไหร่ เอาไปหารยอดเงินที่ได้มาทั้งหมด ดังนั้นทุกคนได้เงินเท่ากันหมด นี่คือการเฉลี่ยให้เท่ากัน ทุกคนพึงพอใจ....ปัญหาความแตกแยกหมดไป การกินแหนงแคลงใจ ผิดพ้องหมองใจหมดสิ้นไป...
เล่ามาตั้งนานเพื่อย้อนปรากฏการณ์การจัดการทางสังคมท้องถิ่นที่ อ.ดงหลวง ที่เรียกว่าลัทธิเฉลี่ยสมบูรณ์ เพราะชาวไทโซ่ทั้งหมดนั้นเป็นอดีตสหาย ผกค. ที่ผ่านการฝึกอบรมในเรื่องต่างๆมาจากอุดมการณ์สังคมนิยม ที่ไม่มีชนชั้น ทุกคนเท่าเทียมกัน ไม่เอารัดเอาเปรียบกัน...ฯลฯ
แต่แล้ววันนี้ผมและเพื่อนๆพาชาวบ้านจาก มาบตาพุด ระยอง ซึ่งเป็นพื้นที่รอบโรงงานอุตสาหกรรมเกี่ยวกับปิโตรเคมีไปศึกษาดูงานเรื่องการจัดสวนที่สวนหลวง ร9 เพื่อกระตุ้นให้ชาวบ้านเรียนรู้เป็นแนวคิดเอาไปปรับปรุงพัฒนากิจกรรมการดูแลสวน การจัดสวน เพื่อเข้ามาประมูลงานของ ปตท.ต่อไป ระหว่างการเดินทาง การพัก การกินข้าว ผมมีโอกาสนั่งคุยกับผู้นำชุมชนที่เดินทางไปดูงานครั้งนี้ ในหลายเรื่อง ที่น่าสนใจมาก
เรื่องที่เกี่ยวกับหัวข้อนี้คือ โรงงานอุตสาหกรรมต่างๆมีโครงการ CSR เข้ามาทำงานกับชุมชนรอบๆโรงงาน โดยเฉพาะเรื่องที่ชาวบ้านร้องขอ แต่ทุกโรงงานก็มักมีข้อแม้ มีข้อจำกัด ทุนหรืองบประมาณที่ได้มาจากโรงงานอุตสาหกรรมนั้นก็มีเงื่อนไขเฉพาะ สรุปว่าไม่ได้ตอบสนองชุมชนเต็มที่นัก
การช่วยเหลือเรื่องหนึ่ง คือ ทุนการศึกษาแก่เด็กนักเรียน เจ้าหน้าที่ CSR และชุมชนจะรวบรวมความต้องการเสนอ โรงงาน เมื่อได้รับเงินทุนการศึกษาก็มอบให้แก่ครอบครัวที่อยู่ในเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้ แต่พบว่า มีอีกหลายครอบครัวไม่ได้เงินทุนการศึกษา ทางโรงงานอุตสาหกรรมก็ไม่สามารถเพิ่มทุนให้ได้อีก หากไม่แก้ปัญหานี้ ผู้นำชุมชนก็จะแบกปัญหาความขุ่นเคือง เคลือบแคลงใจ ระหว่างกันในชุมชน และจะสะสมไปสู่ปัญหาต่างๆ เช่นการไม่ให้ความร่วมมือ ในการพัฒนาชุมชนในรูปแบบต่างๆ....
ผู้นำชุมชนตัดสินใจเอาจำนวนเด็กที่ต้องการทุนการศึกษามาหารยอดทุนการศึกษาได้มาทั้งหมด เป็นอันว่าทุกครอบครัวที่มีลูกเรียนหนังสือและประสงค์จะขอทุนก็สามารถได้รับทุนการศึกษาหมด แม้ยอดจะลดลงไปก็ตามทุกคนก็ยินยอม.....
นี่คือลัทธิเฉลี่ยสมบูรณ์ที่ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยเคยใช้แก้ปัญหาที่ อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร
นี่คือการแก้ปัญหาของชุมชนของผู้นำหมู่บ้านรอบโรงงานปิโตรเคมีมาบตาพุด ระยอง
นี่คือวิถีชุมชน
หากหน่วยงานที่ทำงาน CSR และคนทำงานพัฒนาไม่เข้าใจ รายละเอียดเหล่านี้ทั้งหมด ก็ทำงานกับชาวบ้านแบบไม่ได้ใจ หน่วยงานอาจพึงพอใจที่ได้สนับสนุนเงินทุนการศึกษาให้แก่เยาวชนในชุมชน เอาไปโฆษณา ประชาสัมพันธ์ ใหญ่โต
แต่หารู้ไม่ว่ากิจกรรมนั้นเกือบไปสร้างความแตกแยกเข้าให้แล้ว
ผมอ่านหนังสือเกี่ยวกับสังคมนิยม (socialism) แล้ว ผมไม่คิดว่าเป็นระบบที่เลวร้ายอย่างที่ถูกสอนตอนเด็กๆ เลยครับ แต่เป็นระบบหนึ่งที่น่าสนใจที่มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่น่าคิดและน่าพิจารณาครับ
พี่บางทรายสบายดีนะคะ
ขอบคุณ น้องชายขจิตครับ
อ.ธวัชชัยครับ ผมเห็นด้วยว่า แนวความคิดสังคมนิยมนั้น เป็นแนวคิดที่มาแก้ปัญหาสภาพสังคมในระบบทุนนิยม และศักดินา แน่นอนครับผมเองก็เห็นว่ามีทั้งมุมที่ดีและไม่ดี ในทัศนะผมนะครับ สำหรับชาวบ้านคนยากจนนั้นเขาไม่มีอะไรจะเสีย แนวคิดนี้จึงไปตอบเขาเต็มๆ ครับ
Lily ครับ ผมสบายดีครับ ไม่ได้คุยกันนานเลยนะครับ