ผมมองว่าปัจจุบันนี้คนจบปริญญาปีละประมาณ ไม่ต่ำกว่า ๖๐๐,๐๐๐ คน และมีคนตกงานมากมายที่หางานทำไม่ได้ เพราะส่วนหนึ่งจบในสาขาที่ตลาดต้องการน้อย เช่น สังคมศาสตร์ ศิลปะศาสตร์ ส่วนหนึ่งต้องเรียนต่อในสาขาที่สูงขึ้นหรือทำงานตำกว่าวุฒิ เพื่อหนีคำว่าตกงาน ดังนั้น เราจงรำลึกอยู่เสมอว่าการเรียนของเรา ไม่ใช่เราเรียนเพื่อให้ได้สอบ สอบเพื่อให้จบ และจบเพื่อปริญญา นำไปติดข้างฝาบ้านแล้วนอนมอง แต่ผมมองว่าเป้าหมายที่แท้จริงของเรา สิ่งที่เราควรจะเป็น เรียนเพื่อพัฒนาตนเองให้มีคุณค่า แม้นว่าปัจจุบันปริญญาจะล้นประเทศ แต่บัณฑิตที่ทรงคุณค่ามีเพียงใด ผมมองว่ายังขาดแคลน ดังนั้นผมขอฝากให้พวกเราปรับวิธีคิด เปลี่ยนวิธีดำเนินชีวิต เพื่ออนาคตของตัวเราเองกันบ้าง ลองดูซิครับ......ผมเคยอ่านบทความของ ดร.วิริยะ ฤาชัยพาณิชย์ ขอนำมาบอกต่อเห็นว่าสามารถปรับใช้กับปัจจุบันได้ในยุกต์ที่งานค่อนข้างหายากสำหรับท่านที่เลือกงาน นั้นคือหลักสูตร ๑. วิชาชอบ นั้นคือหากเราชอบอะไรจะต้องแบ่งเวลาไปทำ อย่ามัวแต่เรียนเพื่อสอบไปวันๆ หากชอบถ่ายรูปก็ลองฝึกดู ทำไปทำไป จะเกิดความชำนาญ หาเลี้ยงตัวเองได้ ๒. วิชาชีพ มีโครงการฝึกอบรม หรือต้องการเสริมพิเศษก็ต้องรีบ เช่นเสริมสวย ตัดเย็บเสื้อผ้า หากเราเป็นมีความสามารถรับรองเป็นอาชีพเลี้ยงตัวเองได้ ๓. วิชาช่วย คือภาษา จำเป็นมาก เช่นภาษาอังกฤษ หันดูหนังเสียงในฟิลม์จริงบ้าง ๔. วิชาใช่ ต้องยอมรับ สู้งาน รักองค์กร มีวินัย มีคุณธรรม ซื้อสัตย์ (งานนี้ใช่เลย) ฝึกให้เป็นนิสัยจนกลายเป็นบุคลิกของตัวเองไป...รับรองแจ๋วแน่นอน
ชอบจัง.. สวัสดีครับคุณ Mr. Chana ชนะ Srimala วิชา 4 ช. นี่ดีจริงๆ ด้วย หากแต่ผมเข้าใจถูกหรือเปล่าน้า วิชาใช่เนี่ยมันคืออาชีพ หรืองานตรงหน้าแล้วเราก็ทำไป อดทนไป ยึดมั่นไปอย่างนั้นใช่หรือเปล่า ผมเห็นด้วยครับ กับการเรียนเพื่อมุ่งมาทำงาน ไม่ใช่เรียนเพราะอย่างอื่นๆ ขอบคุณสำหรับบันทึกดีๆ ครับ
คุณเพชรครับ...ขอบคุณมาก วิชาใช่คือวิชาที่ช่วยเพิ่มคุณค่าให้ตัวเอง ฝึกในเรื่องดังกล่าวให้เป็นนิสัยจนเป็นตัวเรา..องค์กรไหน..หน่วยงานใด...ได้คนนี้ไปทำงาน...ต้องบอกว่าใช่เลย ใครๆก็อยากได้ ลูกน้อง หัวหน้าก็รัก แต่ในขณะเดียวกันหากเราไม่มีความรับผิดชอบ เบี้ยวงาน เอาตัวรอดไปวันๆ โยนความผิดให้เพื่อนร่วมงาน ไม่รักองค์กร ไม่มีน้ำใจ ในลักษณะนี้ก็ใช่เลย...แต่ใครล่ะที่ต้องการ