อยากกระโดดลงจากรถไฟคันนี้จังเลย (Amish IV)


ผมได้ตั้งคำถามกับตัวเองว่า การใช้ชีวิตอยู่ในโลกทุกวันนี้นั้นได้ทำให้ตัวเรามีความสุขหรือไม่ คำตอบสำหรับตัวผมเองคือ “ไม่” กรอบระเบียบของโลกที่เราล้วนสร้างมันขึ้นมาเอง กำลังทำลายตัวเราและโลกของเรา หากเราไม่เปลี่ยนทำการแปลงแปลงโลกอย่างพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินแล้ว จุดจบของมวลมนุษยชาติก็จะรอเราอยู่ในเวลาอีกไม่นานนัก

จากการได้รับรู้เรื่องราวของชุมชนชาว Amish ในสหรัฐอเมริกาที่เคร่งครัดในศาสนาและใช้ชีวิตเรียบง่ายแบบชนบทโดยปฏิเสธเทคโนโลยีสมัยใหม่เป็นส่วนมาก สร้างบ้านเหมือนๆกัน แต่งตัวเหมือนกัน เสียสละเพื่อเพื่อนพร้องและชุมชน ทำให้นึกถึงภาพยนตร์ลึกลับสยองขวัญเรื่อง The Village เป็นเรื่องราวของชุมชนกลางป่าแห่งหนึ่ง ซึ่งผู้ก่อตั้งชุมชนเป็นกลุ่มมหาเศรษฐีที่เห็นว่าชีวิตในโลกปัจจุบันนั้นเลวร้ายและไม่น่าอยู่อีกต่อไป จึงลงขันกันซื้อที่ดินกว้างใหญ่ปลูกป่าทำรั้วล้อมรอบจ้างยามมาคุมไม่ให้บุคคลภายนอกเข้าไป และสร้างหมู่บ้านเล็กๆใจกลางป่านั้น จากนั้นกลุ่มเศรษฐีจึงย้ายเข้าไปอยู่ในหมู่บ้านกลางป่านั้น ปิดบังเรื่องราวของโลกภายนอก และสร้างเรื่องของอสูรกายในป่าขึ้นเพื่อกันไม่ให้ลูกหลานออกไปจากหมู่บ้าน จนความมาแตกกับรุ่นหลาน เมื่อยารักษาโรคในหมู่บ้านหมดลงและเด็กรุ่นใหม่จำเป็นต้องละทิ้งความกลัวจากอสูรออกจากหมู่บ้านมาหายาไปช่วยชีวิตคนเจ็บ

มันทำให้ผมได้ตั้งคำถามกับตัวเองว่า การใช้ชีวิตอยู่ในโลกทุกวันนี้นั้นได้ทำให้ตัวเรามีความสุขหรือไม่ คำตอบสำหรับตัวผมเองคือ “ไม่” กรอบระเบียบของโลกที่เราล้วนสร้างมันขึ้นมาเอง กำลังทำลายตัวเราและโลกของเรา ในขณะที่ปัญหาสิ่งแวดล้อมกำลังทำลายล้างโลก เรากลับพยายามกระตุ้นการบริโภคเพื่อพยุงระบบเศรษฐกิจเอาไว้ ซึ่งยิ่งเราบริโภคอย่างฟุ้มเฟ้อยิ่งซ้ำเติมปัญหาโลกร้อนซึ่งนั่นหมายถึงหายนะของโลกในที่สุด ในขณะที่ประชากรกำลังล้นโลกหลายประเทศพยายามกระตุ้นให้พลเมืองมีลูกมากๆเพื่อรักษาประชากรวัยแรงงานและขนาดทางเศรษฐกิจเอาไว้

ถามว่าเราไม่ทำเช่นนั้นได้หรือไม่ คำตอบคือไม่ได้ หากเราไม่กระตุ้นให้เกิดการบริโภค แต่บอกให้ประชากรใช้จ่ายอย่างประหยัดที่สุด ผลที่ตามมาก็คือการหดตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งจะทำให้ภาคการผลิต บริการ และการเงินต้องปิดตัวหรือเลิกจ้าง ผลสุดท้ายประชากรจำนวนมากจะตกงาน นำมาซึ่งปัญหาความวุ่นวายมหาศาล

การลดจำนวนประชากรลงก็เช่นกัน สมัยก่อนเราจะเห็นว่ารัฐบาลพยายามที่จะให้ประชากรมีการคุมกำเนิด สปอร์ตโฆษณาพวก “มีลูกมากจะยากนาน” อะไรทำนองนั้นผุดขึ้นมาตลอดเวลา แต่สมัยนี้สิ่งเหล่านั้นหายไปหมด ไม่มีการพูดถึงอีก เพราะการที่ประเทศมีประชากรมาก นั้นหมายถึงขนาดของตลาดที่ดึงดูดการลงทุน และเงินทองที่จะไหลเวียนในประเทศมากยิ่งขึ้น คือผลประโยชน์มหาศาลและพลานุภาพแห่งประเทศชาติ นอกจากบางประเทศที่ทรัพยากรไม่เพียงพอจะเลี้ยงประชากรเช่นประเทศจีนถึงจะมีมาตรการเพื่อลดจำนวนประชากร

แล้ววิถีชีวิตของเราล่ะ เรามีความสุขแล้วหรือ กับการอยู่อย่างอยากเช่นนี้ เราอยากอยู่ตลอดเวลาในสังคมที่พยายามเหลือเกินให้คุณบริโภคเข้าไว้ ชีวิตคนธรรมดาคนหนึ่งเราต้องผ่อนบ้าน ผ่อนรถกันเกือบครึ่งชีวิต ต้องสำรองเงินมากๆไว้ซื้อชีวิตตอนเราเจ็บไข้ ต้องทุ่มเทเวลาเกือบทั้งหมดเพื่อทำงานที่เราไม่อยากทำเพื่อรักษาวิถีชีวิตเอาไว้ วันๆต้องคอยระวังโจรผู้ร้ายที่ไม่อาจจะยังชีพได้ตามวิถีปุตุชน แล้วหากินทางลัดด้วยการเบียดเบียนผู้อื่น สิ่งต่างๆมากมายในชีวิตที่เราต้องทำแต่ไม่อยากทำ ชีวิตแบบนี้หรือครับที่เราต้องการ

สมัยที่ผมบวชเรียน เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิต ทุกวันตื่นขึ้นมาแล้วมีความสุขกับการเรียนรู้ที่จะรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเราเอง เรียนรู้หนทางแห่งความสุข ซึ่งก่อนหน้าที่ผมจะบวช ผมก็ศึกษาและปฏิบัติธรรมมาบ้าง แต่ก็สารภาพว่าไม่ได้มีความสุขจากการปฏิบัติเลยจริงๆ แต่พอได้อยู่ในผ้าเหลืองสิ่งต่างๆกลับเปลี่ยนไป การปฏิบัติธรรมภายใต้สภาวะของนักบวชให้ผลแตกต่างออกไปเป็นอย่างมาก การไม่ต้องดิ้นรนหาอยู่หากินทำให้เราปลดเปลื้องพันธนาการหนักๆลง การไม่แต่งตัว ไม่มีทรัพสิน ไม่อาจถือครองสิ่งต่างๆเป็นของตนได้ มันทำให้เราไม่อยากมีอยากได้ไปมากกว่าที่จำเป็นแก่การยังชีวิต ชีวิตเบาๆเหมือนลอยได้ และเหมือนว่ามันมีความสุข แต่ถึงนั่นจะเป็นหนทางแห่งสุขนิรันดร์ก็จริงอยู่ แต่เราส่วนมากก็ยังอยากจะมีความสุขในแบบของปุตุชนไม่ใช่นักบวชผู้สละโลก

กลับมาที่ชุมชนชาว Amish ซึ่งดูเหมือนว่าการมีชีวิตสมถะนั้นจะเต็มไปด้วยความสุขและไม่มีปัญหา แต่ความจริงคือชุมชน Amish กำลังประสบปัญหาใหญ่ที่เกิดจากวิถีของ Amish นั่นเอง ชาว Amish เคร่งครัดในคริสศาสนาและไม่ยอมที่จะคุมกำเนิดตามหลักศาสนา ผลที่ตามมาคือการเพิ่มจำนวนประชากร จนที่ดินที่ถือครองอยู่นั้นไม่เพียงพอกับลูกหลาน วิถีชีวิตที่ออกแบบมาเพื่อความสุขของชุมชนเกษตรกรรมจึงเปลี่ยนไป ชาว Amish รุ่นใหม่จำนวนมากจำต้องออกจากชุมชนเกษตรกรรม ไปทำงานในเมืองเพื่อความอยู่รอด และนั่นทำลายวิถี Amish และสิ่งนี้เองบั่นทอนวิถีชุมชน Amish ลงอย่างสิ้นเชิง




มีคนเคยกล่าวว่า การใช้ชีวิตอยู่ในโลกปัจจุบันเหมือนการโดยสารอยู่บนรถไฟที่วิ่งด้วยความเร็วสูง หากเราจะเปลี่ยนวิถีชีวิตไม่ตามกระแสโลก ก็เหมือนการตัดสินใจกระโดดลงจากรถไฟที่กำลังวิ่งอยู่ ซึ่งไม่ง่ายเลยจริงๆ เช่น หากว่าประเทศไทยจะตัดสินใจให้ประเทศปรับรูปแบบเศรษฐกิจเป็นแบบพอเพียงเต็มรูปแบบ พอเพียง ไม่ฟุ้มเฟ้อ ประหยัด และใช้จ่ายลงทุนตามกำลังทรัพย์ที่มีอยู่ ในขณะที่ทั่วโลกอยู่ในกระแสบริโภคนิยม และมีการไหลบ่าของเงินลงทุนมหาศาล ถ้าเช่นนั้นแล้วประเทศจะเป็นเช่นไร คำตอบคือเราจะเสียตลาดการบริโภคภายในประเทศลง ถ้าเราเพิ่มการส่งออกได้ไม่เพียงพอกับการสูญเสียตลาดภายในเศรษฐกิจก็จะหดตัวส่งผลให้อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นและเกิดภาวะเงินฝืด เสียโอกาสและศักยภาพการแข่งขันกับประเทศต่างๆ ถึงแม้ว่าเราจะเติบโตอย่างมั่นคงแต่เราจะตามประเทศต่างๆไม่ทัน และตามมาด้วยปัญหาความมั่นคงในที่สุด การกระโดดออกจากรถไฟขบวนนี้จังไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ

หนทางที่ทำได้ก่อนรถด่วนสายโลกจะวิ่งไปผิดทิศผิดทางจนพามวลมนุษยชาติตกเหวในที่สุด ก็คือการล้มระบบเศรษฐกิจนี้ลงอย่างสิ้นเชิง และสร้างสรรค์มันขึ้นมาในรูปแบบใหม่ หลายๆคงโดยเฉพาะนักเศรษฐศาสตร์คงหาว่าผมเพ้อเจ้อและสิ่งนั้นทำไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ และระบบเศรษฐกิจนี้ต้องคงอยู่เพราะเป็นธรรมชาติของโลก แต่สิ่งหนึ่งที่เราลืมไปจริงๆก็คือ ระบบเศรษฐกิจก็คือกรอบกฎเกณฑ์ที่มนุษย์เราทำขึ้นมา เมื่อเราสร้างมันขึ้นมาเอง มันไม่ใช่ธรรมชาติของโลก ทำไมเราจะเปลี่ยนแปลงมันไปไม่ได้ ในเมื่อเราต่างรู้กันอยู่แก่ใจว่าท้ายที่สุดมันจะพาเราสู่ก้นเหวแห่งหายนะ

ระบบเศรษฐกิจในฝันนั้นไม่ควรส่งผลต่อระบบอำนาจการเมือง ให้ความสำคัญในคุณค่าของความดีงามและปัญญามากกว่าค่าของสิ่งของและสิ่งที่อาจเรียกว่าเงินตรา ซึ่งเราอาจวัดทรัพย์ของคนคนหนึ่งจากคุณค่าภายในตัวเค้ามากกว่ามรดกตกทอดหรือสินทรัพย์ การพัฒนายังคงต้องมีอยู่ แต่ทำอย่างไรเราจะกระตุ้นให้ผู้คนอยากพัฒนาสิ่งต่างๆได้โดยมีสิ่งเร้าที่มีค่ามากกว่าเงินทอง ทำอย่างไรที่เราจะลดการบริโภคลง ทำอย่างไรคนที่ประหยัดจะรู้สึกเป็นคนยิ่งใหญ่กว่าคนที่มีแต่ความอยาก ทำอย่างไรชีวิตมนุษย์จะมีค่าและถูกเชิดชู ไม่ใช่ต้องจบสิ้นลงเพียงเพราะไม่มีเงินซื้อชีวิตตนเองเอาไว้ได้ สิ่งเหล่านี้มีการคิดไว้ตั้งแต่สมัยกรีกโบราณแต่ยังคงเป็นเพียงมายาภาพที่ไม่อาจทำให้เป็นจริงได้ แต่ว่า... มันทำไม่ได้จริงๆหรือ ในเมื่อรถไฟขบวนที่มวลมนุษยชาติร่วมโดยสารอยู่นี้กำลังพาเราสู่หุบเหวแห่งหายนะ

 

หมายเลขบันทึก: 506169เขียนเมื่อ 19 ตุลาคม 2012 10:27 น. ()แก้ไขเมื่อ 20 ตุลาคม 2012 22:25 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

ละครก็สร้างจากชีวิตนะครับ

มีทั้งสุขและทุกข์ ชอบไม่ชอบนะครับ

กระโดดลงมาไม่รู้จะเป็นไงนะครับ ที่แน่ ๆ ไม่ควรกระโดดนะครับ

ลูกสายลม ก็เพราะโดดลงมาไม่ได้ยังไงละครับ ทั้งๆที่รู้อยู่ว่าปลายทางเป็นเช่นไร แต่จริงๆก็เพราะเราทุกคนต่างคิดเช่นนี้ ถ้าเราทุกคนพร้อมใจกันหยุดรถไฟ อะไรจะไม่เป็นเช่นนี้ครับ เราชอบสร้างกรอบมาผูกมัดตัวเอง แล้วบอกว่าเราต้องดำเนินชีวิตตามกรอบนั้น ทำอะไรนอกกรอบไม่ได้ แล้วถ้าวันหนึ่งเราทราบว่ากรอบนั้นไม่ถูกต้อง แทนที่เราจะเปลี่ยนมัน เรากลับบอกว่า ยังไงเราก็ต้องเดินตามกรอบนั้น มนุษย์เราสูญเสียอิสภาพไปแล้วจริงๆครับ

เราเลือกได้ค่ะ เพียงแต่ว่าเราจะเลือกหรือไม่เท่านั้นเอง ส่วนใหญ่เราจะยอมไหลไปตามกระแสกันเสียมากกว่า ถ้าทำใจให้มีความสุขไม่ได้ ก็ต้องปลดปล่อยตัวเองให้ได้ค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท