ทบทวนชีวิต 44 ปี มีอะไรดีบ้าง


เราว่าสิ่งที่เกิดในครอบครัวเรานี้แหละที่หล่อหลอมให้เราเป็นคนมองโลกในแง่ดี รอด ปลอดภัย และมีชีวิตที่ความสุขมาจนถึงทุกวันนี้ได้

วันเกิดอายุครบ 44 ปีนี้ เป็นช่วงเวลาที่ดีที่เราจะได้ทบทวนชีวิตที่ผ่านมา

 

ถ้าถามความรู้สึกนะตอนนี้นะ เรารู้สึกมีความสุขดี ขอบคุณพระเจ้าสำหรับหลาย ๆ อย่างในชีวิต ทั้งเรื่องงาน ครอบครัว และส่วนตัวเอง เพราะถ้าคิดแล้ว ชีวิตเราได้รับในสิ่งดีดี หลายอย่างนะ ลองมาดูสิ

 

- เกิดในประเทศไทย ที่มีเสรีภาพทางความคิด อิสระในการนับถือศาสนา มีพระมหากษัตริย์ที่ดีเลิศ มีคนไทยที่นิสัยดีกว่าชาติอื่นเยอะ ( แฟนเราพึ่งกลับมาจากเกาะบาหลี คนที่นั่นไม่เหมือนบ้านเราเลย ไปเดินตลาดก็เข้ามารุม ยัดเยียดของ ตื้อจะให้เราซื้อให้ได้ ตั้งราคาแพงมากพอเดินจากมาลดจาก 500 บาทเหลือ 10 บาทก็ยังมี ถ้าเข้าไปซื้อของในห้าง ติดป้ายว่าลด 10 % พอคิดเงินไม่ลด ต้องให้เราบอก แถมเวลาทอนเงิน ก็ไม่ทอนเศษให้ ขี้โกงสุด ๆ บ้านเราไม่มีอย่างนี้แน่นอน เราเชื่อเช่นนั้น ) และคนไทยเป็นคนมีน้ำใจ โอบอ้อมอารี )

 

- ได้เกิดเป็นลูกของพ่อกับแม่ ที่แม้จะไม่ได้รวยมากมาย เพราะเป็นครูบ้านนอก (ร.ร.วัด) ทั้ง 2 คน แต่พ่อแม่ก็เลี้ยงเรามาให้มีความสุข ส่งเราจนจบปริญญาตรี สั่งสอนให้เราเป็นคนดี โดยไม่พูดมาก แต่ทำเป็นตัวอย่างให้เห็น พ่อเราเป็นผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่ ที่คนรักทั้ง ร.ร. เป็นมัคนายกที่วัด แม่ก็เป็นครูคนเก่งที่เพื่อนรักมากมาย เป็นครูที่ซื่อสัตย์ แม้พ่อแม่สมัยก่อนจะไม่ได้มากอดกัน บอกรักกันทุกวัน แต่เราก็รับรู้ได้ถึงความรักที่ท่านมีให้ เขาไม่เคยกดดันเราเรื่องเรียน ให้อิสระในการคิดเรื่องอนาคต ปล่อยให้เราเรียนรู้ เป็นไปตามธรรมชาติ  ( เราว่าสิ่งที่เกิดในครอบครัวเรานี้แหละที่หล่อหลอมให้เราเป็นคนมองโลกในแง่ดี รอด ปลอดภัย และมีชีวิตที่ความสุขมาจนถึงทุกวันนี้ได้ )

 

- ได้เกิดเป็นลูกคนโต ทำให้มีน้องที่ต้องดูแล ( แม้จะไม่ค่อยดูแลเท่าไหร่ แต่ก็ทำให้เราแบ่งปันเป็น )

 

- ได้อยู่ในครอบครัวที่ไม่รวยมาก ตอนเด็ก ๆ เราไม่รู้สึกว่าชีวิตลำบากอะไรเลย เราต้องทำงานบ้านเองเกือบทุกอย่าง เลี้ยงน้อง เสาร์อาทิตย์พ่อก็สอนพิเศษ ปิดเทอมเราก็ต้องพับถุงกระดาษ เลี้ยงไก่ เก็บไข่ไปขายตลาด ไปซื้อขนมเป็นแผง ๆ แล้วมาแบ่งขายเพื่อน ๆ ได้กำลัง 50 สตางค์บ้าง บาทหนึ่งบ้าง เรารู้แต่ว่าบ้านเราไม่รวย ไม่มีรถขับ อยู่บ้านพักครู จนเราอยู่มัธยม 3 พ่อถึงปลูกบ้านเป็นของตัวเองได้ มีบ้านของตัวเองอยู่กับเขาเสียที

 

- มีเพื่อนดี เรื่องนี้เป็นสิ่งดีที่สุดสิ่งหนึ่งในชีวิตนะ เรามีเพื่อนดีมาตลอดตั้งแต่เรียนประถม มัธยม และมหาวิทยาลัย เพื่อนที่ทำให้เรามีความสุขท่ามกลางการเรียน ท่ามกลางการเปลี่ยนผ่านพัฒนาการทั้งวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ เพื่อนที่ดี เพื่อนที่ช่วยเสริมสร้าง เติมเต็มการเรียนรู้ชีวิตที่ดี เพื่อนที่ทำให้เรามีโอกาสได้เรียนรู้โลกที่สดใส เพื่อนที่ทำให้โลกนี้น่าอยู่

 

- ได้เรียนที่มหาวิทยาลัยมหิดล คณะพยาบาลศาสตร์ ที่นี่แหละเราได้เรียนรู้ชีวิตที่มีสีสันมาก เราไม่ได้เรียนอย่างเดียว แต่ทำกิจกรรมด้วย ไม่ใช่กิจกรรมของคณะอย่างเดียวนะ แต่เป็นระดับสโมสรนักศึกษามหาวิทยาลัยเลย ได้พี่ ๆ ในชมรมถ่ายทอด พาไปเรียนรู้เกี่ยวกับความเป็นจริงของสังคมทุนนิยม ทำให้เราไปเห็นภาพของผู้คนในความเป็นจริง ที่นี่ทำให้เราเห็นถึง “ชีวิตจริง” การออกค่ายแต่ละครั้ง ตลอดจนการเป็นคนทำค่ายเอง ก็ทำให้เราได้มุมมองของชีวิต ความจริงหลายอย่าง ที่ตกผลึกอยู่ในความคิดของเราจนปัจจุบัน และสุดท้ายการร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ วงประกายไฟ และกลุ่มตะเกียง ก็ทำให้ชีวิตในมหาวิทยาลัย สนุกสุดยอดจริง ๆ และไม่แค่นั้นนะ เรายังไปแจมกับกิจกรรมของ อมธ. กลุ่มอนุรักษ์ของมหาวิทยาลัยต่างๆ อีกด้วย ทำให้ประสบการณ์การทำงานกับผู้คนที่หลากหลาย หลวมรวมเข้าไปเป็นทักษะชีวิตโดยไม่รู้ตัว

 

- เพื่อนร่วมงานที่ดีมาก ตั้งแต่งานครั้งแรกในชีวิตที่ตึกประเสริฐกังสดาลย์ ( ปก. 5 ) โรงพยาบาลศิริราช ตึกผู้ป่วยที่มีคนอยู่ไม่กี่คน แต่ทำงานกันอย่างมีความสุข อบอุ่นมาก แม้งานจะหนัก แต่สิ่งที่สะสมมา และเพื่อนร่วมงานที่เปิดโอกาสให้เรียนรู้การใช้ชีวิตการทำงานอย่างแท้จริง น้ำใจที่มอบให้ ทำให้เรามีมุมมองบวกกับชีวิตการทำงานจริง ๆแล้วพอมาอยู่ที่บริษัทพรอคเตอร์แอนด์แกมเบิล (พีแอนด์จี) แม้จะคนละ field แต่ประสบการณ์เรียนรู้ที่ผ่านมาทำให้เราอยู่ที่นี่ได้อย่างมีความสุขมาก มาก เพราะเอกชน ปล่อยให้เราแสดงศักยภาพได้เต็มที่ เขาเพิ่มเติม เสริมความสามารถให้เราได้อย่างมากมาย เราคิดว่าเพราะพื้นฐานเราดี เราได้เจอผู้คนมาเยอะ ทำให้เราปรับตัว และเรียนรู้ได้เร็ว สนุกมากกับที่นี่ เปลี่ยน job ไปเรื่อย ตั้งแต่เป็นพยาบาล เป็น safety แล้วก็เป็น planner ได้ไปต่างประเทศเยอะแยะ ได้ใช้ทักษะทุกอย่างในการทำงาน ภาษา ความคิดสร้างสรรค์ การแสดงออก โอ๊ย สุดยอด ที่นี่เพื่อนร่วมงานก็หลากหลายมาก ตั้งแต่ช่างเทคนิค ยัน boss ต่างชาติ ทุกคนให้ความรัก ความสนิทสนม และความเป็นกัลยาณมิตร ทั้งเพี่อนที่อยู่ประเทศไทย และต่างประเทศ จึงเป็นช่วงเวลาที่พิเศษสุดเหมือนกัน และสุดท้ายมาทำงานที่รพ.สวนสราญรมย์ มันเป็นบรรยากาศที่แตกต่างจาก 2 ที่ที่เราเคยอยู่มาอย่างสิ้นเชิง เพราะเราอยู่ในที่เดียวกับแฟน ที่นี่ไม่เหมือนสังคมเมือง เขาจะรู้จักกันหมด มีพ่อแม่พี่น้องเกี่ยวดองอยู่ด้วยกัน (ที่ศิริราช คนเยอะมาก ไม่รู้จักกันเลย) แต่ก็เป็นที่ที่สบาย พี่น้องที่นี่ใจดี ตรงไปตรงมา  

 

- มีงานทำ ที่เรารักจะทำ มีความสุขที่ได้ทำ ได้ใช้ความสามารถประสบการณ์ ไม่ว่าอยู่ที่ไหน เราก็มีความสุขกับงานเสมอ ไม่ว่าจะเป็นงานที่ดูแลคนไข้อย่างเดียว ตอนอยู่ศิริราช การทำงานในโรงงาน เพื่อสุขภาพของพนักงาน เพื่อความปลอดภัยของพนักงาน หรือเพื่อการขายแชมพูให้กับประเทศต่าง ๆ และสุดท้ายการทำงานดูแลคนไข้ที่ OPD แม้ไม่ทุกวัน เราก็ตั้งใจทำ งานวิชาการ งาน KM / LO หรืองานอื่น ๆ ที่เราทำได้ เราก็ทำอย่างเต็มที่สนุกที่ได้คิด ได้ทำและได้อยู่ที่นี่

 

- มีสามีที่ดีมาก เป็นคนที่เข้าใจในตัวเรา เป็น family man มาก ๆ ให้ความสำคัญกับครอบครัวสูง คิดและทำอะไรไม่ต้องจูนมาก เขามาเติมส่วนที่เราขาดให้สมบูรณ์ขึ้น

 

- มีลูกที่น่ารัก เขาเป็นเด็กที่เราสอนได้ และเขาก็สอนอะไรให้กับชีวิตเราเยอะเหมือนกัน สุดท้ายเหมือนมาเติมเต็มสิ่งที่เราขาดเช่นกัน

 

- มีครอบครัวของสามีที่ดี ตัวเรามาจากครอบครัวเดี่ยวที่ไม่มีใครอยู่ห้อมล้อม เพราะพ่อแม่ก็ย้ายมาจากที่อื่น ดังนั้นเราจึงไม่มีญาติพี่น้องมากเหมือนฝั่งแฟน ซึ่งเขามีเยอะมาก แต่ไม่มีปัญหาอะไรเลย เพราะเขาเป็นครอบครัวของพระคริสต์ ดังนั้นจึงมีแต่ความรัก ความอบอุ่น และประกอบกับเป็นครอบครัวคนจีนด้วย ดังนั้น จึงมีการรวมญาติกินกันบ่อย แต่ก็เป็นการรวมกันเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งทางจิตใจ เป็นการหนุนใจกันและกันมากกว่า

 

- มีครอบครัวทางจิตวิญญาณ คือเมื่อครอบครัวเราอยู่ที่ไหนก็ตาม สมาชิกที่โบสถ์จะเป็นกลุ่มคนที่มีความรักความห่วงใยให้เสมอ ทั้งที่คริสตจักรมักกะสันและคริสตจักรบ้านดอนแห่งนี้ มันเป็นความอบอุ่นที่มีพื้นฐานมาจากความรักของพระเจ้า คือการให้

 

- สุดท้าย เรามี “พระเจ้า” เป็นหลักยึดในชีวิต เป็นคำตอบของชีวิตหลาย ๆ อย่าง ที่ทำให้เรามั่นคง และอบอุ่น ปลอดภัยเสมอ

 

โอ้โห หลายสิ่งเหลือเกินในชีวิตของเรา ที่ทำให้เราต้องขอบคุณกับการมีชีวิตอยู่มาถึงวันนี้ ขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้เรามีเป้าหมายของชีวิต ขอบคุณประเทศไทย คนไทย ขอบคุณพ่อแม่ ขอบคุณเพื่อน ๆ ที่เป็นเพื่อนเรา ขอบคุณพี่ ๆ เพื่อนร่วมงาน ขอบคุณสามีและลูก ขอบคุณโอกาสดีดี ที่ผ่านเข้ามา ทำให้เรามีประสบการณ์ชีวิตที่ดี ทำให้เราเป็นเรา เป็นคนที่มีความสุขในวันนี้

 

เราเชื่อว่า ชีวิตของเราก็เหมือนกับหลาย ๆ คน นั่นแหละ ถ้าคุณได้ลองทบทวนตัวเอง ก็จะพบว่ามีความสุขที่มองเห็น โดยไม่ได้ซุกซ่อนอยู่ตรงไหนในชีวิตคุณ เหมือนเราแหละ

ขอให้มีความสุขในทุก ๆ วันของชีวิตนะคะ

 

ในตอนหน้า เราจะมาทบทวนวิธีการใช้ชีวิตที่ผ่านมาว่า เราให้คุณค่ากับชีวิตที่น่าทะนุถนอมของเรามากน้อยแค่ไหน ?  

 

หมายเลขบันทึก: 503118เขียนเมื่อ 22 กันยายน 2012 15:04 น. ()แก้ไขเมื่อ 24 กันยายน 2012 19:01 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)

เหมือนได้ดูซีรี่ เรื่องเยี่ยม เลย

ดีค่ะ ยินดีด้วย มีความสุขด้วย ขอบคุณที่แบ่งปัน

อ่านเพลิน จริง ๆนะ ขอบคุณพระเจ้าสำหรับพระพรมากมายที่้กิดขี้นในครอบครัว "พนิตอังกูร"

ขอบคุณบทความดีๆ ค่ะ

ทบทวนชีวิต ทบทวนการทำงาน ว่ายังมีความสุขในวิตและการทำงานอยู่อย่างไร

หากสิ่งที่ทำ คำที่พูด สูตรที่คิด ยังสอดคล้องกับการทำงานก็เป็นการบูรณาการงานกับชีวิต

นำชากระบี่มาฝาก

http://www.gotoknow.org/blogs/posts/503265

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท