ศ.นพ.ประเวศ วะสี: เป้าหมาย 6 ประการของระบบสุขภาพชุมชน


ต้องเอาเป้าหมายเป็นตัวตั้ง แล้วเอาวิธีการเป็นตัวตาม ไม่ใช่เอาวิธีการเป็นตัวนำ การณ์ทั้งหมดจึงจะชัดเจน มีพลัง มีทิศทาง มีผลสำเร็จ

     หลังเสร็จสิ้นการจัดประชุมเพื่อเตรียมการค้นหานวัตกรรมบริการสุขภาพระดับปฐมภูมิในส่วนภาคใต้ ที่โรงแรมวีแอล หาดใหญ่ ในระหว่างวันที่ 13 – 14 ก.ย.49 ที่ผ่านมา ผมไม่ได้เปิดเช็ค E-Mail เพราะมัวแต่เดินทางอยู่ วันนี้พอได้เช็คก็พบงานเขียนของอาจารย์หมอประเวศ วะสี ที่เขียนถึงเรื่อง “เป้าหมาย 6 ประการของระบบสุขภาพชุมชน” เป็นเมล์ที่พี่ด้วง (พี่ดวงพร เฮงบุณยพันธ์) ประธานคณะทำงานบริหารจัดการภาพรวมของโครงการสนับสนุนการพัฒนานวัตกรรมบริการปฐมภูมิ ส่งมาให้ พร้อมทั้งข้อความที่ว่า “ช่วยเผยแพร่ต่อนะค่ะ เราน่าจะใช้เป็นเป้าหมายของการทำเรื่องค้นหานวัตกรรม ขอบคุณมาก –ดวงพร-”

     พออ่านจบก็รีบเขียนบันทึกนี้ก่อน เพื่อเผยแพร่งานเขียนของอาจารย์หมอประเวศ วะสี ตามที่พี่ด้วงแจ้งไว้ แล้วเดี่ยวจะส่งเมล์ให้กับทุกท่านที่เป็นเครือข่ายเรื่องนี้เพื่อขยายผลต่ออีกทอดหนึ่งด้วยครับ ดังนี้...

 

เป้าหมาย ๖ ประการของระบบสุขภาพชุมชน
โดย ประเวศ  วะสี ๑๓ กันยายน ๒๕๔๙

     เป้าหมาย ๖ ประการของระบบสุขภาพชุมชน: การมองเรื่องระบบสุขภาพชุมชนจะมีพลังต่อเมื่อทุกฝ่ายมีเป้าหมายร่วมกัน เป้าหมายร่วมกันจะเป็นเสมือนจูนคลื่นเข้ามาเป็นพลังแสงเลเซอร์ ควรเอาเป้าหมายเป็นตัวตั้งไม่ใช่เอาวิธีการ เช่น การวิจัย นวัตกรรม การจัดการความรู้ เป็นตัวตั้ง ซึ่งจะทำให้กระจัดกระจาย ไม่มีพลัง เอาเป้าหมายเป็นตัวตั้ง แล้วเอาวิธีการเป็นเครื่องมือที่ทำให้สำเร็จตามเป้าหมาย

     ๑. เป้าหมายร่วมกันของระบบสุขภาพชุมชน

          (๑) สำรวจและช่วยเหลือผู้ที่ถูกทอดทิ้งทุกคนในชุมชน เช่น คนแก่ คนตาบอด ไม่มีลูกหลานเลี้ยงดู ต้องอดมื้อกินมื้อ หรือเด็กๆ ที่ถูกทอดทิ้งอยู่ตามลำพัง

           (๒) รักษาคนที่เป็นหวัดเจ็บคอได้ทุกคน โดยการดูแลตนเอง การดูแลในครอบครัวหรือในชุมชน โดยไม่ต้องไปโรงพยาบาล ซึ่งสามารถทำได้ดีกว่าและถูกกว่าการรักษาในโรงพยาบาล ถ้าทำได้จะทำให้โรงพยาบาลลดภาระลงและมีเวลาดูแลผู้ป่วยอื่นๆ ด้วยความประณีตขึ้น

           (๓) รักษาคนเป็นเบาหวานและความดันโลหิตสูงได้ทุกคน คนเป็นเบาหวานและความดันโลหิตสูงส่วนใหญ่ไม่ได้รับการวินิจฉัย และคนที่ได้รับการวินิจฉัยก็ได้รับการรักษาไม่ดี โรงพยาบาลไม่มีทางรักษาโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงได้ดี จะดีได้ต่อเมื่อได้รับการดูแลเชิงบุคคลและอย่างต่อเนื่อง ควรสำรวจชุมชนและวินิจฉัยคนเป็นเบาหวานและความดันโลหิตสูงหมดทุกคนเป็น ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ และจัดการการรักษาเชิงบุคคลและอย่างต่อเนื่องหมดทุกคน
          ถ้าคนเป็นโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงได้รับการควบคุมอย่างดีหมดทุกพื้นที่ จะตัดความสูญเสียสุขภาพ สูญเสียชีวิต และสูญเสียทางเศรษฐกิจอย่างมโหฬาร ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์สาธารณสุขจะประเมินได้โดยไม่ยาก

           (๔) ดูแลผู้สูงอายุที่เป็นโรคเรื้อรังได้ที่บ้าน ผู้สูงอายุที่เป็นโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น เป็นอัมพาต ปวดข้อ ถุงลมโป่งพอง ฯลฯ ทั้งแก่ด้วย ทั้งจนด้วย ทั้งป่วยด้วย ต้องไปโรงพยาบาล ลำบากเหลือกำลังและได้รับการบริการที่ไม่ดีเลย เหมือนตกนรกทั้งเป็น ถ้ามีพยาบาลเยี่ยมบ้านไปเยี่ยมถึงบ้าน ดูแลและแนะนำจะมีความสุขประดุจขึ้นสวรรค์ทีเดียว

           (๕) ควบคุมโรคที่พบบ่อย เช่น ไข้เลือดออก ชุมชนเข้มแข็งจะสามารถป้องกันไข้เลือดออกได้ และควบคุมโรคอื่นๆ อีก เช่น ซาร์ส ไข้หวัดนก ติดยาเสพย์ติด ฯลฯ

           (๖) ชุมชนสร้างเสริมสุขภาพ ชุมชนเข้มแข็งจะสร้างเสริมสุขภาพด้วยประการต่างๆ เช่น ขจัดความยากจน สร้างเศรษฐกิจพอเพียง อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม อนุรักษ์วัฒนธรรม และสร้างเสริมพฤติกรรมสุขภาพ เช่น ออกกำลัง ไม่สูบบุหรี่ ควบคุมการดื่มเหล้า มีโภชนาการที่ดี เป็นต้น
          ทั้ง ๒ ประการนี้เป็นเป้าหมายพื้นฐาน ซึ่งสามารถตกแต่งเพิ่มเติมได้อีกเป็นลำดับไป

     ๒. ผลกระทบของเป้าหมายสุขภาพชุมชน

            (๑) เป้าหมายสุขภาพชุมชน ๖ ประการดังกล่าวข้างต้น จะทำให้เกิดความรู้สึกที่ดี และเกิดความมุ่งมั่นร่วมกัน

            (๒) ถ้าทำได้ดังกล่าวจะลดค่าใช้จ่ายทางสุขภาพลงอย่างมโหฬาร ผลตอบแทนทางสุขภาพเพิ่มขึ้น โรงพยาบาลต่างๆ จะหายแน่น และสามารถทำงานด้วยคุณภาพมากขึ้น ลดการฟ้องร้องแพทย์และโรงพยาบาลลง

            (๓) ควรขอให้นักเศรษฐศาสตร์สาธารณสุขประเมิน cost-effectiveness ของการพัฒนาสุขภาพชุมชนตามแนวทางนี้ ซึ่งน่าจะพบว่าเป็นการลงทุนที่กำไรหลายร้อยเปอร์เซนต์ ไม่มีธุรกิจอะไรที่กำไรมากเท่านี้

     ๓. โครงสร้างและเครื่องมือ

           ขณะนี้เรามีโครงสร้างและเครื่องมือมากพอที่จะพัฒนาสุขภาพชุมชนได้โดยไม่ยาก ในพื้นที่เรามีสถานีอนามัยทุกตำบล มีองค์กรท้องถิ่นคือ อบต. ครบทุกตำบล มีโรงพยาบาลชุมชนครบทุกอำเภอ องค์กรอื่นๆ อีก เช่น วัดและโรงเรียน องค์กรเหล่านี้สามารถร่วมมือกันพัฒนาสุขภาพชุมชนได้ ซึ่งอาจร่วมกับองค์สนับสนุนทั้งทางวิชาการ ทางนโยบาย และทางงบประมาณเราก็มีมากมาย นอกเหนือจากทางราชการแล้วยังมี สปสช. สสส. สวรส. สปรส. สกว. สคส. พอช. มสช. เป็นต้น
          ความร่วมมือกันขององค์กรในพื้นที่ และองค์กรสนับสนุนไปสู่เป้าหมายสุขภาพชุมชนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จะเป็นพลังของความสำเร็จ
          ลำพังที่ สปสช. จะสนับสนุนกองทุนสุขภาพชุมชน ๓๗.๕๐ บาทต่อคนรวมกับที่ อบต. จะออกอีกตำบลละ ๑๐๐,๐๐๐ บาท ก็จะเป็นเงิน ๔-๕ แสนบาทต่อตำบล ซึ่งเพียงพอที่จะทำตามเป้าหมายข้อ (๑) แล้ว คือสำรวจและช่วยเหลือผู้ที่ถูกทอดทิ้งทุกคนในชุมชน ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น

     ๔. วิธีการ

             (๑) ประสานงานให้มีเป้าหมายร่วมกัน มีความมุ่งมั่นร่วมกัน และร่วมมือกันในการทำให้บรรลุเป้าหมายทั้ง ๖

             (๒) ในการทำตาม (๑) จะเกิดคำถามซึ่งต้องการการวิจัย ก็สนับสนุนการวิจัย

             (๓) สนับสนุนนวัตกรรมอันใดที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายทั้ง ๖ ได้ดีขึ้น

             (๔) สนับสนุนการจัดการความรู้ เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อบรรลุเป้าหมายได้ง่ายขึ้น ดีขึ้นและราคาถูกขึ้น

             (๕) วิจัยสถานภาพ และสถานการณ์ของการพัฒนาระบบสุขภาพชุมชนในแต่ละพื้นที่ แล้วนำมาสู่เวทีพัฒนานโยบายเพื่อปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมให้สามารถดำเนินการได้ดีขึ้นเรื่อยๆ
          จะเห็นได้ว่าต้องเอาเป้าหมายเป็นตัวตั้ง แล้วเอาวิธีการเป็นตัวตาม ไม่ใช่เอาวิธีการเป็นตัวนำ การณ์ทั้งหมดจึงจะชัดเจน มีพลัง มีทิศทาง มีผลสำเร็จที่ประเมินได้

-------------------------------------------



ความเห็น (11)

ขอบคุณที่นำมาเผยแพร่ค่ะ  มีโอกาสได้ฟังอาจารย์พูดถึงแนวคิดนี้เมื่อต้นเดือน  อาจารย์ยังแนะนำส่วนที่โรงเรียนแพทย์จะต้องเข้าไปเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายกับรพ.ชุมชน เพื่อช่วยเสริมสร้างสุขภาพชุมชนอีกด้วย   จะนำไปเผยแพร่ให้ผู้ที่ทำงานด้านนี้ ในโรงเรียนแพทย์ด้วยค่ะ

ขอบคุณกับบันทึกที่ดีมีคุณค่านี้ค่ะ และก็เห็นด้วยเป็นอย่างมากเลยค่ะว่าจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อหน่วยบริการปฐมภูมิเข็มแข็งเกิดการยอมรับและหน่วยงานองค์กรต่างๆที่เกี่ยวข้องต้องร่วมด้วยช่วยกันทำ และพร้อมให้การสนับสนุนในทุกรูปแบบ  ดิฉันจะนำไปขยายผลให้กับทีมสุขภาพในหน่วยปฐมภูมิในพื้นที่ค่ะ
  • ขอบคุณสำหรับบันทึกดี ๆ นะ..น้องชายขอบ
  • เห็นด้วยกับการร่วมกันของระบบสุขภาพชุมชน
  • เพราะถ้าเป้าหมายนี้สำเร็จผลที่ตามมาก็คือจะลดค่าใช้จ่ายทางสุขภาพลงอย่างมโหฬาร โรงพยาบาลต่างๆ จะหายแน่น และสามารถทำงานด้วยคุณภาพมากขึ้น ลดการฟ้องร้องแพทย์และโรงพยาบาลลง

รศ.พญ. ปารมี ทองสุกใส ครับ

     ขอบพระคุณอาจารย์หมอมากนะครับ สำหรับการทิ้งรอยไว้ จนเกิดกำลังใจอย่างมากโข โดยเฉพาะประเด็นที่โรงเรียนแพทย์ก็ได้หยิบยกประเด็นนี้ขึ้นเป็นประเด็นที่มีในการจัดการเรียนการสอน
     เท่าที่ผมได้สัมผัสกับแพทย์หลาย ๆ ท่าน และแพทย์ท่านนั้นมีคุณลักษณะการให้บริการที่เป็น Humanize ตลอดจนให้ความสำคัญกับงานสุขภาพชุมชน เราจะพบว่าชาวบ้านจะยังพูดถึงท่านแม้ท่านจะย้ายไปนาน ๆ แล้ว เช่น นพ.สุเทพ เพชรมาก อดีต ผอ.รพ.เขาชัยสน นพ.บรรเจิด สุขพิพัฒน์ปานนท์ อดีต ผอ.รพ.ควนขนุน หรืออีกหลาย ๆ ท่านที่ผมไม่ได้เอ่ยนามหมดในที่นี้

คุณ Laddawan wipoosanapan

     เยี่ยมเลยครับ หากได้ช่วย ๆ กันนำไปขยายผลต่อนะครับ ระบบสุขภาพจะปลอดภัยและมั่นคงจริง ๆ จะต้องมีชุมชนที่เข้มแข็งและพึ่งตนเองได้ครับ เชื่อย่างนั้น

คุณพี่ ศุภลักษณ์ ครับ

     ขอบพระคุณมาก ๆ ครับ สำหรับแรงใจ และแน่นอนครับ หากค่าใช่จ่ายของระบบโดยรวม เหลือไว้จ่ายเท่าที่จำเป็น (Needs) จริง ๆ แล้ว วันนั้นครับ คุณภาพบริการจะไล่ตามมาอย่างไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยเช่นทุกวันนี้หรอกครับ

เครื่องมือหนึ่งที่น่าสนใจคือ การจัดตั้งกลุ่มสัจจะลดรายจ่ายวันละ1บาททำสวัสดิการภาคประชาชนตามแนวทางของครูชบ ยอดแก้วที่จังหวัดสงขลา

ตัวอย่างคล้ายกันที่กลุ่มโซนใต้จังหวัดลำปาง  คือ    "กลุ่มออมบุญวันละ1บาทบ้านดอนไชย อ.เถิน"มีการทำข้อมูลสุขภาพของสมาชิกรายบุคคลด้วย อ.อ้อมมีข้อมูลอยู่ครับ

พี่ภีม ครับ

     พี่ห่างหาย Blog ไปนานไม่ได้เห็นกันเลยครับ ขอบคุณพี่มากนะครับ แล้วผมจะติดต่อ อ.อ้อมอีกที จะได้นำประเด็นนี้มา Integrate เข้าไปในแนวทางปี 50 นะครับ
     ตอนนี้ผมกำลังเขียนรายงานวิจัยในเรื่องที่ค้าง ๆ อยู่ เลยยุ่ง ๆ มีเวลาสำหรับ GotoKnow น้อยลงเหมือนกันครับ

วิพากษ์ ประเวศ วะสี ซาตานหรือเทวดา
ความสุขปีใหม่ เข้าใจ "สังคมานุภาพ"
โดย ประเวศ วะสี
www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01act04010150&day=2007/01/01

เนื่องในวาระดิถีขึ้นปีใหม่พุทธศักราช 2550 อันเป็นกลางพุทธศตวรรษที่ 26 ผมขออวยพรให้เพื่อนคนไทยทุกคนประสบความสุขสวัสดี อะไรเป็นความดีงาม เป็นมงคล เป็นขวัญ เป็นศรี ขอให้สิ่งดีๆ เหล่านั้นจงอุบัติแก่ท่านทั้งหลายโดยทั่วกัน อวย แปลว่าให้ พร คือ วระหรือสิ่งที่ประเสริฐ อะไรที่เป็นสิ่งที่ประเสริฐท่านพึงให้แก่กันและกัน
---- คนแก่ก็อย่างนี้แหละ อะไรไม่ต้องขยายความอย่าง “อวยพร” ก็จะพล่ามให้ได้
---- เฮ่อ ชอบน้ำท่วมทุ่ง


การให้หรือการมีน้ำใจเพื่อเพื่อนมนุษย์จะทำให้ท่านมีความสุข มีความภูมิใจในตัวเอง มีความปีติ มีความรู้สึกว่ามีศักดิ์ศรี มีความกล้าหาญ เราถูกสอนมาว่าทำอะไรต้องเอาความรู้ เป็นตัวตั้งเสียจนเคยชิน ความรู้มีความสำคัญ แต่ถ้าเอาความรู้เป็นตัวตั้งเราจะมีความกลัว ไม่มั่นใจ กลัวเราจะไม่รู้จริง กลัวคนอื่นจะรู้ดีกว่า เราต้องเอาใจเป็นตัวตั้งจึงจะพบความสุข การมีน้ำใจต่อเพื่อนมนุษย์จะทำให้เกิดความกล้าหาญไม่กลัวอะไร การที่มีน้ำใจต่อคนอื่นทำให้รู้สึกมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีศักยภาพที่จะทำอะไรดีๆ
---- การเอาความรู้มาเป็นตัวตั้ง คนคงไม่คิดบัดสีอย่างคุณมั๊ง คุณประเวศ
---- คุณคิดแบบกรอบหมอ กรอบนักวิชาการ ที่เขาห้ำหั่นกันด้วยความรู้ อาจมก็อวดรู้กัน
---- การที่ท่านนายกฯ ทักษิณ เน้นให้ประชาชนมีความรู้
---- ก็ด้วยกุศลจิตให้ประชาชนเท่าทัน ไม่ให้ประชาชนถูกหลอก
---- ท่านทักษิณ เขาไม่ได้คิดบัดสี พิเรนทร์ อย่างคุณคิดหรอก อย่ามีวิตกจริตนัก


ความรู้สึกว่าตัวเองมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีคุณค่าแห่งความเป็นคน มีศักยภาพที่จะทำอะไรดีๆ จะทำให้มีสุขภาวะอย่างยิ่ง มีความปีติและความสุขซึมซ่านทั้งเนื้อทั้งตัว เป็นความสุขที่แท้จริง อันไม่เกี่ยวกับเงิน ตำแหน่ง หรือยศฐาบรรดาศักดิ์ใดๆ ทั้งสิ้น การมีเงิน มีตำแหน่ง มียศฐาบรรดาศักดิ์ ไม่อาจมีกับคนทุกคน และไม่แน่ว่าจะอวยให้เกิดความสุขที่แท้จริงได้ แต่ความรู้สึกมีศักดิ์ศรีและมีคุณค่าแห่งความเป็นคนสามารถเกิดขึ้นกับคนทุกคน และทำให้เกิดความสุขอันประณีตลุ่มลึก อันเป็นความสุขที่แท้จริง
---- การที่ชาวบ้านถูกคุณยกว่ามีศักดิ์ศรี แต่แท้จริงเขาไม่มีเพราะกำลังถูกคุณหลอกน่ะ
---- คุณใช้คำหวานหลอกให้ชาวบ้านหลงไหลได้ปลื้ม มันคือการที่คุณกำลังทำอาชญากรรมนะ


อันที่จริงมนุษย์มีศักยภาพมากที่จะเข้าถึงความจริง ความดี และความงาม ซึ่งจะทำให้มีความสุขและการอยู่ร่วมกันด้วยสันติ แต่มนุษย์ก็ถูกจำกัดศักยภาพเป็นอย่างมาก ประดุจถูกจองจำไว้ในคุกที่มองไม่เห็น สิ่งที่มาจำกัดศักยภาพของมนุษย์คือจิตสำนึกและความสัมพันธ์ในสังคม จิตสำนึกที่เล็กและความสัมพันธ์ทางดิ่ง เป็นพันธนาการที่จองจำมนุษย์ไว้ไม่ให้มีศักยภาพ เราถูกกักขังอยู่ในจิตสำนึกและทรรศนะอันคับแคบ อะไรที่คับแคบก็จะบีบคั้น การบีบคั้นคือความทุกข์ การหลุดพ้นจากความบีบคั้นคืออิสรภาพ คือความสุข ความสุขคือความเป็นอิสระหลุดพ้นจากความบีบคั้น ความคับแคบคือความไม่จริง ความจริงนั้นกว้างใหญ่ไพศาล สรรพสิ่งทั้งหมดเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกัน เพราะจิตเล็กมนุษย์จึงไม่เข้าถึงความจริงที่ใหญ่ ทำให้เห็นและคิดแบบแยกส่วน ทำให้บีบคั้น ขัดแย้งและรุนแรง
---- คุณพูดดูคล้ายถูก แต่มาดูกันต่อไป (ฮา)


ถ้าต้องการความสุขต้องมีจิตใหญ่ หรือจิตสำนึกใหม่ (New Consciousness) ที่เข้าถึงความจริง เห็นความเชื่อมโยงของสรรพสิ่งไปสู่ความเป็นทั้งหมด หรือความเป็นหนึ่งเดียวของทั้งหมด ถ้าเข้าถึงความจริงก็จะประสบความงาม และเกิดความรักอันไพศาลต่อเพื่อนมนุษย์และสรรพธรรมชาติทั้งหมด อันเป็นไปเพื่อความสุขและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ
---- คุณไม่บอกสักคำว่า แล้วทำยังไงจึงจะมีจิตใหญ่
---- เราจะมีได้ก็ต่อเมื่อมีการศึกษา ไม่ใช่อยู่เฉย ๆ มันจะใหญ่ขึ้นมาเองได้
---- จึงต้องมีความรู้ ใช้ปัญญา แล้วค่อย ๆ ดัดแปลงความคิดเก่า ๆ ของตนเอง
---- คุณพูดห้วน ๆ เอาดีใส่ตัว แต่ไม่ได้พูดให้กระจ่าง นี่คือเล่ห์ของคุณ


โครงสร้างทางสังคมกำหนดพฤติกรรมทางสังคม สัมพันธภาพทางดิ่งระหว่างผู้มีอำนาจที่อยู่ข้างบนกับผู้ไม่มีอำนาจที่อยู่ข้างล่าง เป็นโครงสร้างที่บีบคั้น ทำให้เกิดความทุกข์ มีการเรียนรู้น้อย และพฤติกรรมเบี่ยงเบนต่างๆ เช่น การเฉื่อยงาน การซ่อนข้อมูล การนินทาว่าร้าย การออกใบปลิว การลอบแทงข้างหลัง ในองค์กรทั้ง 5 ประเภท ล้วนมีสัมพันธภาพทางดิ่ง คือ การเมือง ราชการ การศึกษา ธุรกิจ และศาสนา คนทั้งหมดจึงตกอยู่ในสภาพถูกจองจำในโครงสร้างทางดิ่งขององค์กร
---- การที่ คมช. มาฉีกรัฐธรรมนูญ ปล้นประชาธิปไตยไปจากประชาชนด้วยปืน
---- ทั้งที่ที่ไต้หวัน เกาหลี ฝรั่งเศส เขามีจลาจลทั่วประเทศ ก็ยังไม่มีทหารกลุ่มไหนมายึดอำนาจ
---- การใช้อำนาจแนวดิ่งของ คมช. ก็คือ ตั้งพรรคพวกเป็นสภา เป็นองค์กรอิสระ เป็น กก.รสก.
---- พวกนี้มาฟันเงินเดือนกันเดือนละนับแสน ๆ แถมยังเบิกงบลับไปเลี้ยงดูกัน
---- พวกคนชั่ว ไล่ออกย้าย ขรก.เป็นว่าเล่น
---- มันทำให้ ปชช.ทนไม่ได้ ต้องคุยกันเบาๆ หมดอาลัยตายอยาก เกิดคลื่นใต้น้ำ เพราะพวกมันมีปืน
---- คุณเห็น คมช. ทำชั่ว หรือเห็นประชาชนที่ถูกบีบคั้นประพฤติชั่วกันแน่


สังคมใดที่มีสัมพันธภาพทางดิ่ง เศรษฐกิจจะไม่ดี การเมืองจะไม่ดี และศีลธรรมจะไม่ดี และจะไม่มีทางดี ตราบใดถ้ายังไม่ปรับเปลี่ยนสัมพันธภาพที่ทุกคนมีความเท่าเทียมกัน และสามารถรวมตัวร่วมคิดร่วมทำอย่างกว้างขวาง ที่เรียกว่ามีความเป็นประชาสังคม (Civil Society)
---- เหมือนที่สนธิมีทะเบียนสมรสซ้อน ซึ่งตามระเบียบราชการต้องไล่ออกใช่ไหม
---- เหมือนสุรยุทธ์ บุกรุกที่ป่าสงวน (รับของโจร) ปลูกบ้านหลายสิบล้าน แต่เสียค่าเช่าที่ดินปีละ 200 บาท!


คนไทยจะมีความสุขและมีการอยู่ร่วมกันอย่างสันติได้ก็ต่อเมื่อเข้าใจและจัดความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจ 3 ประเภท ได้อย่างถูกต้อง อำนาจ 3 ประเภท คือ 1.อำนาจรัฐหรือพลานุภาพ อำนาจรัฐอันมีมาแต่เดิม เป็นอำนาจที่ติดอาวุธ คือมีกองทัพและตำรวจ จึงถือเป็นอำนาจที่ใช้พละกำลัง หรือพลานุภาพ 2.อำนาจเงินหรือธนานุภาพ ในระบบทุนนิยม เงินมีขนาดใหญ่และมีอำนาจมาก เรียกว่าเป็นธนานุภาพ ตามปกติธนานุภาพก็จะพยายามมาใช้อำนาจรัฐให้เป็นประโยชน์แก่ตน แต่บางครั้งก็จะใช้เงินเข้ามายึดอำนาจทางการเมืองเสียเลย เช่น รัฐบาลทักษิณ เมื่ออำนาจรัฐและอำนาจเงินเข้ามารวมกันจะทำให้อำนาจในสังคมเสียดุลอย่างรุนแรง อะไรที่เสียดุลยภาพอย่างรุนแรงก็จะวิกฤต
---- คุณกล่าวหาทักษิณแบบมีมูลหรือไม่
---- คุณอย่าชั่วนัก อย่าอาศัยบารมีส่วนตัว มาว่าคนอื่นเสีย ๆ หาย ๆ ให้สาวกพยักหน้าหงึก ๆ
---- ถ้าเขาทำผิด ต้องตัดสินด้วยกระบวนการยุติธรรม ซึ่งจะไปตราหน้าว่าเขาผิดทั้งที่ศาลไม่ตัดสินไม่ได้
---- คุณทำตัวเพียงสร้างข่าวลือ ช่วยคนชั่วให้มาทำรัฐประหาร คุณช่างชั่วช้านัก


ทั้งอำนาจรัฐและอำนาจเงินล้วนเป็นอำนาจทางดิ่ง (ดูรูป) อำนาจทางดิ่งอาจจะใช้แก้ปัญหาในครั้งโบราณได้ เช่น การเก็บภาษี การควบคุมคน และการต่อสู้กับการรุกรานจากภายนอก แต่ปัจจุบันสังคมมีความซับซ้อนและมีปัญหาเชิงโครงสร้างมากมาย เช่น ความยากจน ความอยุติธรรมในสังคม การรุกรานทางเศรษฐกิจจากภายนอก อำนาจทางดิ่งแก้ปัญหาที่ซับซ้อนไม่ได้ ดังที่รัฐบาลทักษิณมีอำนาจมาก แต่แก้ปัญหาหลักๆ ในสังคมไม่ได้เลย เป็นต้น
---- อำนาจรัฐเป็นแนวดิ่งเสียทีเดียวที่ไหน
---- เขามีอำนาจรัฐแบบ เทศบาล อบต. อบจ. ที่ประชาชนเลือกในทุกพื้นที่ ยังหาว่าแนวดิ่ง
---- รัฐบาลก็มาจากการเลือกตั้ง แต่คุณว่าแนวดิ่ง แต่ทหารยึดอำนาจประชาชนคุณกลับไม่ว่า
---- ทำไมคุณจึงแย่ได้ขนาดนี้ บาปที่คุณทำ จะเผาผลาญจิตใจคุณและส่งคุณลงนรก


3.อำนาจทางสังคม (สังคมานุภาพ) อำนาจทางสังคมเป็นอำนาจทางราบอันเกิดจากการรวมตัวร่วมคิดร่วมทำด้วยความเสมอภาค มีการเรียนรู้หรืออำนาจทางปัญญา มีอำนาจของความถูกต้องหรือธัมมานุภาพ ส่งเสริมความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่น การอนุรักษ์วัฒนธรรม การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การเคารพศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นคนของคนทุกคน ใช้สันติวิธีและแนวทางมัชฌิมาปฏิปทา สังคมานุภาพ มาจากคำว่า สังคม+อานุภาพ เพื่อให้ล้อกับพลานุภาพ หรืออำนาจของการใช้พละกำลัง และธนานุภาพหรืออำนาจของการใช้เงิน สังคมานุภาพคือประชาธิปไตยที่แท้จริง+ปัญญานุภาพ+ธัมมานุภาพ ด้วยประชาธิปไตยที่แท้จริงหรือสังคมานุภาพ (+ปัญญานุภาพ+ธัมมานุภาพ) เท่านั้น สังคมจึงจะมีพลังพอที่จะฝ่าฟันความซับซ้อนของสังคมปัจจุบันไปสู่ความร่มเย็นเป็นสุขได้
---- เล่นลิ้นจริง ๆ เลย คุณประเวศ ชอบใช้คำแปลก ๆ ยกหางตัวเองร่ำไป
---- มีสักกี่ชุมชนที่เป็นแบบอุดมคติอย่างคุณว่า
---- ถ้ามีก็เป็นแค่ข้อยกเว้นเล็ก ๆ ใช้กับทั่วไปไม่ได้ เช่นสันติอโศก
---- เล่ห์ของคุณคือเที่ยวใช้คำพุทธ + คำหวาน + คำมีความรู้ (นิดหน่อย) มาหลอกคน
---- ที่ผ่านมา รัฐบาลทักษิณก็พยายามส่งเสริมชาวบ้าน ไม่ว่าจะเป็น OTOP ทุนการศึกษา SML ฯลฯ
---- ไม่เคยมีรัฐบาลใดทำเพื่อชาวบ้านและให้ชาวบ้านเท่านี้ ให้จนอภิสิทธิ์ชนทนไม่ได้ต้องรัฐประหาร


สังคมานุภาพไม่ควรคิดทำลายอำนาจรัฐและอำนาจเงิน แต่ดึงเข้ามาทำงานร่วมกัน อำนาจรัฐและอำนาจเงินก็ควรส่งเสริมความเติบโตของอำนาจทางสังคม เพราะจะทำให้เกิดดุลยภาพของอำนาจทั้งสามในสังคมต่อเมื่อมีดุลยภาพของอำนาจในสังคม สังคมจึงจะมีความเป็นปกติและยั่งยืน
---- คุณชอบพูดจาให้ดูดี ผมขอกระชากหน้ากากชั่วของคุณสักหน่อยเถอะ
---- คุณพูดส่งเดช เอา 3 อย่างที่ไม่เกี่ยวกันนักมาพูด แล้วบอกต้องรวมกัน
---- คุณไม่มีปัญญาพูดเลยว่า HOW ทำอย่างไร ได้แต่พูดส่งเดช เจื้อยแจ้ว
---- พูดแบบว่า ถ้าเอาความดีของท่านพุทธทาส + ความหล่อของสมบัติ + เสียงของสุรพลมารวมกันได้ก็จะดี
---- การที่คุณพูดว่า How ไม่ได้ ก็เพราะคุณไม่รู้ว่าจะทำได้อย่างไร ได้แต่เสนอ ๆ เพื่อให้ตัวเองดูดี
---- คุณพยายามทำอย่างนี้ มีจุดหมายเดียวคือยกหาง เพราะสิ่งที่คุณพูดมันไม่ realistic เอาเสียเลย


ปี 2550 คงจะมีความผันผวนทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมมาก ขอให้เพื่อนคนไทยตั้งสติให้ดี พยายามทำความเข้าใจเรื่องจิตสำนึกใหม่ และ "สังคมานุภาพ" พลังของจิตสำนึกใหม่ และพลังของ "สังคมานุภาพ" อันมหาศาลเท่านั้นที่จะพาเราออกจากวิกฤตการณ์แห่งยุคสมัย ขอให้เพื่อนคนไทยมีความสุขสวัสดี
---- แล้วคุณก็จบดื้อ ๆ แบบหนีปัญหา
---- ผมจะบอกให้ สังคมไทยไม่ได้สิ่งดีๆ จากคุณแม้แต่น้อย เพราะคุณมันพูดและเขียนในสิ่งที่เอาดีใส่ตัว
---- ผมว่าคุณเป็นซาตาน คุณไม่ใช่คนดีหรือคนมีความรู้แท้หรอก
ความจริงแท้ที่แต่ละคนเข้าถึง  คือข้อพิสูจน์ค่ะคุณชายขอบ

ขออนุญาตเว็บมาสเตอร์คะ

คนเป็นเบาหวาน โรคอ้วน โรคเลือด เราช่วยคุณได้
คุณสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตัวเองระดับน้ำตาลในเลือดจะลดลงอย่างเห็นได้ชัดภายใน 30 วัน ผลิตภัณฑ์ผ่านอย. ไม่มีอันตราย และไม่มีผลข้างเคียง ไม่ใช่ยา เป็นอาหารระดับเซลล์
สนใจติดต่อ
ดารณี 089-146-7446, 089-337-4011

ต้องการตัวแทนจำหน่ายตามจังหวัดต่าง ๆ คะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท