ได้ไปเที่ยวอิตาลีมา 10 วัน ถ่ายรูปมาพันกว่ารูป เฉลี่ยตกประมาณวันละร้อยกว่ารูปซึ่งถือว่าปกติ แต่ที่เขียนวันนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องรูป จะลองไล่เลียงประสบการณ์และ tip อะไรบางอย่างที่เป็นเรื่องใกล้ตัว และเตรียมตัว สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ เอาแค่ Italy ไม่กี่เมืองที่ไปมา share กันครับ
อิตาลีจะไม่ค่อยเหมือนอังกฤษมากๆตรง formality หรือพิธีรีตองต่างๆ เน้นกันเอง effective แบบง่ายๆ จนถ้าคนชอบอะไรที่ชัดเจน มี protocol รองรับทุกเรื่อง อาจจะอึดอัดไปถึงฉุนเฉียวได้ อย่างออกมาจากสนามบิน ซื้อตั๋วรถ coach จะเข้าเมือง คนขายก็บอกแค่ว่าเดี๋ยวเดินออกไปประตู 5 นะคะ พอเราเดินออกมา ก็เจอรถโคชจอดอยู่ประมาณ 20 คัน ไม่มีป้ายบริษัทอะไรบอกเลย เดินไปเดินมาหาอยู่พักนึก เจอคนหน้าตาคล้ายๆเจ้าหน้าที่ ถามไปก็บอกให้ไปทางนึง พอไปถึงมันก็บอกให้เดินกลับมา เห็นมีนักท่องเที่ยวน่าจะร่วมชะตากรรมเดียวกันอยู่หลายคนเหมือนกัน แต่สุดท้าย (มันคงรำคาญ) ตะโกนบอกตาลุงคนนึงแล้วให้เราเดินตาม ปรากฏว่าเป็นคนขับรถคันที่เราจะไปนั่นเอง
เรื่องข้ามถนนก็ออกจะคล้ายคนไทยมาก คือข้ามมันทุกที่เลย (แต่รถบ้านเราจะโหดกว่า) แม้แต่จตุรัสขนาดใหญ่ 6 เลนที่เขาขุดอุโมงค์ไว้ให้ข้าม ก็มีป้าอิตาเลี่ยนเดินหยองแหยงๆข้ามบนถนนซะงั้น รถก็หยุดกันกะฉึกกะฉันทีเดียว (มาเมืองไทย ป้าแกคงไปได้ไม่กี่ถนน) ส่วนรถก็ยังจอดให้คนข้ามที่ทางม้าลายบ้าง แต่ก็วัดใจกันพอควร ไม่เหมือนที่อังกฤษ ที่ทางม้าลายใครไม่จอดให้คนข้าม มีหวังถูกปรับหูตูบ ที่อิตาลีนี่อาจจะต้องใช้วิธีสบตากันนิดหน่อยว่าใครจะเอาแน่
เที่ยวอิตาลีเค้าบอกว่าไม่ต้องทิป ในคู่มือเขียนไว้ว่าเรื่องทิปเป็น culture ของอเมริกันที่เอามาเผยแพร่กันเอง เห็นมีทิปก็คนต่างชาติ ส่วนคนอิตาเลี่ยนเองจะทิปน้อยกว่าเยอะ หรือไม่ทิปเลยก็เยอะ
CRIME
อันนี้สำหรับนักท่องเที่ยวจะน่ากลัวมาก ที่จริงผมก็เคยได้ยินมาเยอะ คราวนี้ได้มีโอกาสโดนกับตัวเอง
วันแรกที่ไปถึง เราก็ไปเที่ยว Duomo หรือ cathedral ของมิลาน เป็นลานจตุรัสใหญ่เบ่อเริ่ม นักท่องเที่ยวเยอะมาก เราก็ขึ้นมาปุ๊บ เก้ๆกังๆถ่ายรูป ก็มีผู้ชายหน้าตายุโรปตะวันออกมากันสามสี่คน เอาเมล็ดข้าวโพดมายื่นให้ เราก็ไม่เอา เดินหนีไป สักเดี๋ยวตอนเราเดินถ่ายรูปคู่กับ Duomo อยู่ มันก็ตามมาอีก ยัดเอาเมล็ดข้าวโพดใส่มือเราเลย แล้วทำไม้ทำมือให้ชูมือเอาไว้ แป๊บเดียวฝูงนกพิราบแถวนั้นก็บินมาจิกกินข้าวโพดในมือเราเต็มไปหมด พอเสร็จมันก็ล้อมเราเลย บอกว่า money money จะให้เหรียญมันไป คราวนี้มันบอกเลยว่า no no 20 Euro!! เราก็บอกตัวเองทันทีว่า "ตูเจอเข้าแล้ว" พรรคพวกมันก็เข้ามาล้อมเราเลย มีคนนึงเอื้อมมือจะมาหยิบกล้องเราด้วย ผมก็รีบเอากล้องคล้องคอทันที มันเลยถอยไป มันล้อมเราอยู่จนเราไม่รู้จะทำไง สุดท้ายก็เลยให้มันไป 20 euro มันก็หายไปทันที
มาสะท้อนเหตุการณ์ ดูแล้วก็แปลกดี ท่ามกลางนักท่องเที่ยวเยอะแยะ มันก็ยังกล้ามาล้อม และก็ไม่เห็นมีใครสนใจ ยังนึกย้อนหลังว่า ถ้าเรากรีดร้อง Help ดังๆ มันจะหนี หรือมันจะจิ้มเราให้ อีกประมาณครึ่งชั่วโมงก็เห็นมีสายตรวจ ตำรวจเดินมา ตรงนี้คิดว่าที่มิลานสู้ที่โรมไม่ได้ เพราะที่โคลีเซียม (แหล่งท่องเที่ยวโรม) นั้น มีทั้งรถตำรวจ และสายตรวจเดินกันควั่กไขว่ทีเดียว อุ่นใจดี แต่ที่มิลานนี่นานๆจะออกมาที
อีกวันนึงก็มีอีกแก๊งนึง คราวนี้เป็นอาฟริกัน มาในมาดเอาสร้อยข้อมือเล็กมาขาย ตอนแรกมันจะเข้ามาผูกให้เลยทีเดียว เราก็ไม่เอาท่าเดียว สักเดี๋ยวเห็นมันไปผูกให้อีกครอบครัวนึง มันใช้วิธีผูกให้กับลูกตัวเล็กๆ พ่อแม่ก็ยอม แต่พอมันขอตังค์ ก็เห็นพ่อเด็กไม่ยอม และเดินหนีไป ยังดีที่พวกอาฟริกันนี่มักจะมาเดี่ยวๆ ไม่ได้มาเป็นแก๊งแบบยุโรปตะวันออกที่ผมเจอ มันจะไม่ตื๊อหรีอบีบมากนัก
สุดท้ายเราได้ไปเที่ยวกับไกด์มิลาน เธอบอกว่าที่นี่ใคร offer อะไรอย่ารับ เพราะแม้ว่าใครจะเป็นคนยัดเยียดให้ก็ตาม แต่ถ้ารับไม่ได้แปลว่ามันให้ เราต้องจ่ายมันไป!! ถ้าเป็นกรณีนี้ อย่างไอ้แก๊งข้าวโพดนั่น เราต้องไม่เอามันอย่างเดียว ห้ามเออออ หรือรอดูว่ามันจะทำอะไรต่อเด็ดขาด มันยัดใส่มือก็ให้โปรยทิ้งไปทันทีอาจจะพอช่วยได้
ส่วนใครจะคิดว่าน่าจะพอบู๊หรือสู้มันได้ก็คงจะแล้วแต่วิจารณญาน ผมเองก็คิดๆว่ามันไม่น่าจะกล้าทำร้ายเรา แต่ถึงแม้ odd จะน้อยก็ตาม แต่ถ้ามันโกรธ และทำร้ายเราแม้แต่นิดเดียวและวิ่งหนีไป หรือถึงจับมันได้ก็เถอะ มันก็ไม่คุ้มกับที่เราอาจจะต้องสูญเสียไป
ที่โรมจะมี pickpocket หรือนักล้วงกระเป๋าเป็นที่เลื่องลือ คู่มือท่องเที่ยว หนังสือ หรือ website จะกล่าวขวัญกันเยอะ (อาจจะเป็นสาเหตุที่มีตำรวจออกมาเยอะดี) มีรถเมล์สายนึง คือ 64 วิ่งจากสถานีรถไฟ Roma Termini เข้ากลางเมือง ผ่านแหล่งท่องเที่ยว ไปสิ้นสุดที่มหาวิหาร St Peter ในกรุงวาติกันพอดี เป็นเส้นที่นักท่องเที่ยวใช้เยอะมาก จะมีคนเตือนเรื่องการล้วงกระเป๋าทุกครั้งเลย มีหลาย tricks ที่เล่าๆกัน เช่น มาล้อมกรอบเราในรถหลายคน เพราะสายนี้มักจะแน่นมาก เราหนีไปไหนไม่ได้ ถ้าเราถือกระเป๋าไม่ดี ก็จะถูกล้วง และบางทีมันจะทำงานเป็นทีม ล้วงไปแบบไม่ต้องมีศิลป์อะไรมาก แล้วรีบส่งๆต่อ ให้เพื่อนมันกระโดดลงรถหนีไปก็มี
ที่โรมนี่ไม่ได้เจอกับตัวเอง อาจจะเป็นเพราะ
ที่ที่คนแน่นๆ เช่น กลางจตุรัส (Piazza) รถเมล์ รถใต้ดิน (แน่นจริง) เป็น high-alert spot ให้เราเพิ่มความระมัดระวัง ผมเดาเอาเองว่ามันน่าจะเลือกคนที่ไม่ค่อยระวังมากกว่าจะเล่นงานคนที่ paranoid ตลอดเวลา ยอมดูเป็นคนวิตกจริตดีกว่ายั่วยวนเชื้อเชิญโจรมาทักทาย
GUIDED TOUR
ปกติผมจะไม่ได้ใช้ทัวร์ เพราะจะเตรียมตัวไปก่อนค่อนข้างเยอะ เพราะชอบอ่านอยู่แล้ว แต่ไปอิตาลีตกลงจะลองใช้ทัวร์ดู เพราะ "อ่านไม่ไหว" เยอะจริงๆ ถ้าจะอ่านก็คงจะพอได้แต่ใช้เวลาเป็นเดือนๆสำหรับเที่ยวทุกเมือง ก็เลยลองใช้ guided tour แทน
NON-GUIDED TOUR
มีสามพิพิธภัณฑ์ที่ (คิดว่า) ไม่ต้องใช้ guide ก็ได้ แต่ควรอย่างยิ่งที่จะสำรองตั๋วล่วงหน้า คือ Accademia และ Uffici ที่ฟลอเรนซ์ และ วาติกันมิวเซียมที่วาติกัน อาจจะเสียเพิ่มประมาณ 4-5 euro เทียบกับตั๋วคิวปกติ แต่มักจะ safe เวลาให้เราได้ประมาณ 1-2 ชั่วโมงทีเดียว สำหรับนักท่องเที่ยวที่เวลาจำกัด และการรอคิวเป็นชั่วโมงๆเป็น luxury ที่เราไม่อยากจะทน ก็นับว่าคุ้ม เพราะเท่าที่ดูมาคิว "ยาวจริงๆ" และรอกันเงกเลย ผมจองตั๋วล่วงหน้าทางอินเตอร์เน็ตซึ่งต้องเอา voucher มารับตั๋วจริงที่หน้ามิวเซียม และเดินเชิดหน้าเข้าคิวลัด แซงเจ้าพวกซื้อหน้างานไป เกิดความรู้สึกดีๆขึ้นมาทันที!!!
วาติกันมิวเซียมก็มีให้จองเหมือนกัน แต่พอดีผมใช้ Eurail Pass (ตั๋วรถไฟเหมา) ซึ่งสามารถนำไปลดราคาเข้าวาติกันมิวเซียมได้อีก 6 euro แบบแซงคิว แถมไม่ต้องจองล่วงหน้าด้วย มันจะมีบริษัท Roma Cristiana Office ของโรม อยู่ตรงจตุรัส St Peter เอาตั๋วรถไฟ Eurail Pass นี่ไปซื้อตั๋วเข้าวาติกันได้เลย เขาจะพาเราเข้าแบบ group ตามเวลาที่เราอยากได้
ตั๋วต่างๆของอิตาลี มี package ลดแลกแจกแแถมเยอะ ที่จริงถ้ามีเวลาค้นคว้าก่อน ก็จะมีอะไรเล่นอีกเยอะ อย่างตั๋ว accademia กับ uffici มันจะแถม voucher ของ Hard-Rock Cafe และประทับชื่อบนถุงมือให้ฟรีที่ร้านถุงมือที่ร่วมรายการ หรือตั๋ว eurail ก็จะมีลดราคาอะไรต่อมิอะไรแถมพ่วงมาด้วย ก็น่าสนุกดี
PUBLIC TRANSPORT
Milan มี tram, bus และ metro ที่พักผมใกล้ tram มาก เดินทางเข้ากลางเมืองใช้เวลาแค่ 20 นาทีก็ถึง Duomo แล้ว สะดวกดี เป็นรถรางโบราณ ไม่ค่อยได้นั่งรถใต้ดิน ที่จริงแล้วหากไม่นั่งใต้ดินน่าจะดีสุด เพราะเราจะเห็นเมืองชัดเจนกว่า ป้ายรถรางและรถเมล์มีหมายเลข และที่หมายเขียนบอกไว้ง่ายมาก ข้อเสียอย่างเดียว มีวันนึงเที่ยวดึกไปหน่อย รถมันหยุดกลางทางเฉยๆเลย บอกว่าหมดเวลาแล้ว!! ประมาณสามทุ่มเศษๆเอง สุดท้ายต้องเดินสะเงาะสะแงะกลับบ้าน โชคดีที่ไม่ไกลมาก
Florence เดินได้ทั้งเมือง ไม่ต้องใช้รถ อ้อ ตรงนี้ค้นพบข้อดีอีกอย่างของ iPhone คือ GPS เพราะแผนที่ในเมืองใหญ่ๆ แผนที่กระดาษมักจะไม่ละเอียด ยิ่งในประเทศที่คลั่งไคล้ Piazza หรือวงเวียนหลายๆแยกแบบอิตาลี เราจะงงมากว่าเราอยู่ไหน แผนที่กระดาษจะไม่โชว์รายละเอียดของถนนเพียงพอ แต่พอผมเปิด iPhone GPS ปุ๊บ มันเป็น real-time เลยทีเดียว คราวนี้เดินง่ายสุดๆ เห็นตัวเราเป็นจุดกระปิ๊บๆบนจอ แถมถนนยัง label ชื่อสถานที่สำคัญให้อีกต่างหาก
Rome มี bus, tram, metro ที่จริงทุกเมืองจะมีตั๋ว travel cards ซึ่งจะรวมค่าโดยสารฟรีในช้วงเวลา เช่นหนึ่งวัน สองวัน สามวัน หนึ่งอาทิตย์ แต่ผมว่าทั้งสามเมือง ยกเว้นมิลานแล้ว ทั้งฟลอเรนซ๋และโรมไม่ต้องใช้ travel card แค่ซื้อเป็น trip ก็พอ เพราะที่เที่ยวมันกระจุกเป็นกลุ่มๆ เราจะไม่ได้ใช้โดยสารมากเท่าที่คิด พอจะเดินไหว แต่ถ้าใครอยาก hop-on hop-off จริงๆ ก็ซื้อได้ ที่มิลานจะมี Milano card อยู่ได้ 48 hrs หลัง activate ครั้งแรก ที่โรมก็มี RomaPass อยู่ได้สามวัน ซื้อล่วงหน้าทางอินเตอร์เน็ตได้ ผมซื้อ Milanocard จากไทย ไปเอา card ที่สนามบินได้เลย มันจะมีเคาเตอร์อยู่ ส่วนที่โรมไม่ได้ใช้
หากจะซื้อตั๋วเป็นรอบๆที่โรม มันจะไม่มีขายบนรถ แต่เราจะซื้อได้ตามร้านบุหรี่ ร้านของชำ และบางทีก็จาก McDonald!! ร้านพวกนี้จะปิดเร็ว ไม่เกินสามทุ่มปิดหมดแล้ว และเปิดหลังแปดโมง ส่วนใหญ่จะเก้าโมงครึ่ง ฉะนั้น ถ้าวันรุ่งขึ้นจะออกแต่เช้า ให้ซื้อเตรียมไว้แต่ตอนเย็นเลย ตั๋วยังไม่ activate จะยังไม่นับถอยหลัง ตั๋วธรรมดาราคา 1.5 euro ใช้กับรถเมล์ได้ 75 นาทีกี่เที่ยวก็ได้ แต่กับ metro ได้ trip เดียว
TELEPHONE
เกือบลืม ผมชอบใช้ sim card ที่ซื้อในประเทศที่ไป โดยเฉพาะ sim ที่สามารถใช้กับ smartphone เพราะมันจะมี internet ให้ และกับ iPhone ถ้าเราต่อ internet กับโทรศัพท์ได้ เราจะเหมือนมี server เคลื่อนที่ เป็น wifi-hotspot ทีเราจะใช้กับ Macbook หรือ iPad ได้อีกด้วย
บริษัทโทรศัพท์มีหลายบริษัท ผมใช้ของ TIM แต่ก็มี Vodaphone ให้เลือก ร้านพวกนี้มีเต็มไปหมด ตั้งแต่สนามบิน หรือในเมือง ผมซื้อแบบ package ตั้งต้น 20 euro มีค่าโทรศัพท์เป็น pre-paid ให้ 15 euro เป็นค่า sim ซะ 5 euro แทบจะไม่ได้ใช้โทรศัพท์เลย ใช้อยู่เมืองเดียวคือ Milan เพราะภรรยาไปประชุม เอาไว้โทรนัดกันเวลาประชุมเสร็จ ที่เหลือใช้เป็น internet อย่างเดียว
คุ้มมาก เพราะพอโทรศัพท์เราต่อ internet ได้ เท่ากับเรามี wifi ส่วนตัว ที่จะใข้โปรแกรมอย่าง line หรือ facetime ได้ทุกที่ ผมใช้ FaceTime ผ่าน wifi โทรกลับบ้านที่เมืองไทยแทบทุกวัน ฟรี!! ตอนกลับมาบ้าน sim ยังเหลือเงินอีกตั้ง 13 euro แสดงว่าต่ออินเตอร์เน็ตเสียเงินน้อยมาก แต่เป็น 3G และเร็วใช้ได้ทีเดียว ไม่นับที่ใช้กับโปรแกรม GPS เวลาเดินหลงในเมืองใหญ่ๆได้ด้วย
ได้โทรศัพท์อีกทีก็ในเนเปิ้ล ตอนไปเที่ยวปอมเปอี เพราะหาที่ขึ้นรถไม่เจอ!!
อาจารย์ขจิต ตามเข้าไปขมที่ facebook ผมได้เลยครับ sakon singha มีหลายอัลบัม
เดี๋ยวจะตามไปดูรูปครับ
""สวัสดีค่ะ".อาจารย์..คงกลับมาถึงเมืองไทยด้วย..ความเรียบร้อย..ปลอดภัย..ใครไปอิตาลี..ไม่ถูกกระทำ..ถือว่าโชคดีอย่างมหันต์...(เคยโดนเหมือนกัน)..เขาเล่า..กันว่า..กางเกงใน..ที่สวมใส่อยู่..ยังหายได้...อิอิ...ของยายธียังอยู่ตอนนั้นโดนแต่..กระเป๋าที่วางไว้ในรถเพราะขี้เกียจถือ..ตอนลงไปดูสุสานใต้ดิน..อ้ะะๆ....(ยายธี)..
กำลังจะมาเขียน tips เที่ยวเกาหลีเรื่องโทรศัพท์พอดีเลยค่ะ แลกเปลี่ยนประสบการณ์อีกมุมค่ะ :)
อ.ประพนธ์ครับ
ตอนนี้จะเป็นรูปแบบไม่มีบรรยายไปก่อนนะครับ จะค่อยๆเพิ่มรายละเอียดลงไปทีหลัง
ยายธีครับ
ที่จริงมีคนเตือนไว้ก่อนเยอะมาก เราก็ทำ mental rehearsal ท่าโน้นท่านี้ไว้เต็มไปหมด ถึงเวลาจริงก็ปอดแหก ไม่ได้ทำอะไรสักอย่างครับ หึหึ สงสัยต้องกลับมาเรียนไอกิโด้ให้ได้สายดำค่อยกลับไปใหม่
อ.จัน
เดี๋ยวนี้ที่สุวรรณภูมิก็มี sim card แบบ pre-paid ไว้ใช้เมืองนอกขายแล้วนะครับ แต่ผมว่ายังไงๆน่าจะสู้ของ local phone company ยาก อยากรู้ของเกาหลีเหมือนกันครับ