เขาว่าผม "เก๋า"


          วันนี้วางแผนว่าจะไปธนาคารเพื่อทำธุรกรรมทางการเงิน  แต่ว่าทางที่จะไปจากโรงพยาบาลแก่งคอยฝั่งภูเขาฟูจิยาม่า(เขาพระ) ซึ่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของถนนมิตรภาพ  ส่วนสถานที่ราชการก็จะอยู่อีกฝั่งหนึ่งของถนนมิตรภาพ(ฝั่งเทศบาล) นับระยะทางแล้วห่างกันประมาณ  ๗  กม. ขึ้นสะพาน ลงสะพาน U-Turn บ้าง ตามประสาการคมนาคมเจริญ วิ่งไปตามถนนตั้งแต่  ๒ เลน,  ๔ เลน  และ  ๑๐ เลน  การเดินทางไม่ลำบากหากมีรถเอง  มีสะพานลอยสำหรับรถข้ามถนน ฉันไม่ค่อยอยากใช้เส้นทางนี้ด้วยเหตุผลนิดเดียว “มันไกลไป”  จึงเลือกใช้เส้นทาง U-Turn หน้าโรงงาน CP แทนเพราะคิดว่าใกล้  ขณะขับรถชลอและหยุดอยู่ปากทาง  ข้างทางเข้าสุสานไทฟ้าเพื่อเลี้ยวขึ้นถนนมิตรภาพเพื่อตรงไป U-Turn หน้า โรงงาน CP  สายตามตรงไปด้านหน้าและซ้ายขวา    ขณะนั้น เหมือนมีคนกำลังเดินตรงมาที่รถของฉัน  ฉันหันไปมองโดยอัตโนมัติ  และเหมือนเขากำลังพูดกับฉันแต่ฉันไม่ได้ยิน เนื่องจากปิดกระจกรถ ฉันจึงลดกระจกลงเล็กน้อยพอสนทนากันได้  และถามเขาไปว่า  “มีอะไรเหรอลุง”  ความไม่ไว้ใจ  ความกลัวภัยจากคนแปลกหน้า  เริ่มเข้ามาในความคิดของฉัน

            “เจ๊  ทางเข้าไปนี่มีโรงพักมั้ย”  ชายแปลกหน้าที่ฉันพบดูเหมือนคนสูงวัยที่ศีรษะมีผ้าปิดแผลผืนใหญ่ ติดไว้สองแห่ง  ที่ข้อมือซ้ายก็มีผ้าปิดแผลปิดไว้อีกหนึ่งแห่ง  ที่ไหล่สะพายกระเป๋าใบใหญ่  ที่มืออีกข้างถือซองฟิล์มที่ฉันคุ้นตา  มันคือซองฟิล์มของโรงพยาบาลแก่งคอย

            “ไม่มีจ้าลุง  ข้างในตรงไปนี่มีแต่โรงพยาบาล  กับสุสาน  แล้วก็บ้านคน    แล้วลุงจะไปโรงพักทำไม  ไปหาญาติหรือไปแจ้งความ”   ฉันคุยและถามอย่างอัตโนมัติเมื่อประเมินสถานการณ์แล้ว

            “ผมจะไปแจ้งความ น่ะเจ๊”  พร้อมกับทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยม  ฉันเห็นอย่างนั้นจริงๆ  ในใจก็คิดว่าต้องขอเงินค่ารถแน่

            “ถ้างั้นลุงไปขึ้นรถที่โรงพยาบาลนะ  เดินไปไม่ไกลโรงพยาบาลอยู่ทางขวามือนะ”  ฉันแนะนำไป  ในใจก็ยังคิดอยู่ว่าจะช่วยพาไปส่งที่โรงพักดีหรือเปล่าเพราะเป็นทางผ่านอยู่แล้ว  แต่อีกใจก็ยังกลัวและระแวงอยู่

            “ผมไม่มีเงินซักบาทเลยเจ๊  หิวข้าว  ยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้าแล้ว”  นั่นไงล่ะ  เดาไม่มีผิดเลย  ความคิดในสมองมาเร็วมาก   จะให้เงินไปซื้อข้าวแล้วก็จบไป  หรือจะพาไปส่งโรงพักตามที่เคยคิดไว้  ถ้าทิ้งเขาให้เขาช่วยเหลือตัวเองบ้างก็น่าสงสารเพราะเขาคงไปลำบาก  ขณะนั้นคำพูดของอาจารย์ประมวล  เพ็งจันทร์   ได้ก้องเข้ามาในหัวของฉันว่า “การช่วยเหลือของเราแม้เพียงเล็กน้อย  มันอาจได้ช่วยเหลือเขาทั้งครอบครัว เขาอาจเอาเปรียบเราบ้าง ช่างเขาเถอะ เพราะมีคนอย่างเขาทำให้เราได้มีโอกาสให้ทาน”  ฉันตัดสินใจทันทีว่าฉันต้องช่วยเขาแล้วล่ะ  เท่าที่ฉันจะทำได้  ตอนที่ฉันคิดได้อย่างนั้นใจฉันไม่ได้ปีติเหมือนอย่างอาจารย์ประมวล  เพียงแต่อยากช่วยเขาเท่านั้น

 

            “งั้นลุงขึ้นรถเลยค่ะ  เดี๋ยวหนูจะไปส่งที่โรงพัก”  ลุงเดินอ้อมมานั่งข้างคนขับตามที่ฉันเชื้อเชิญ  ในใจก็ยังกลัวเขาอยู่ ได้แต่คิดว่า  เอาน่าเราคิดดี  ปรารถนาดีต่อเขา  เขาคงไม่ทำร้ายเราอย่างที่เรากลัวและระแวงหรอก  ฉันทำเป็นชวนคุยโน่น นี่ นั่น  นึกได้ว่าเออเรามีกล้องน่าจะถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐานนะหากเกิดอะไรขึ้นกับเราก็ยังมีหลักฐานในมือ  นั่นคิดไปนั่นเลยเรา  ฉันจึงขอถ่ายรูปเขา  บอกว่าอยากถ่ายรูปแผลไว้  เขาก็เอียงซ้ายเอียงขวาให้ฉันถ่ายแต่โดยดี  แล้วฉันก็เห็นชื่อเสียงเรียงนามของเขาจากหน้าซองฟิล์มเอกซเรย์  ที่เป็นซองฟิล์มของโรงพยาบาลแก่งคอย  เอาน่าอย่างน้อยก็มีชื่อ-สกุลเขา  คงไม่ต้องขอดูบัตรประชาชนเขาหรอกน่า  ระยะทาง ๕ กิโลเมตร  ที่จะถึงโรงพักฉันก็ชวนเขาคุยตลอด  สอบถามได้ว่าบ้านอยู่จังหวัดสุรินทร์  มีภรรยาแล้วมีลูกสาว ๒ คน  อยู่ ป.๒ กับ ป.๓  แต่ได้แยกทางกับภรรยา  ลูกๆภรรยาเป็นคนเลี้ยง ช่วยเหลือเงินบ้างตามที่มี  ส่วนตัวเองได้ยินว่า บ.CP เขารับคนทำงานจำนวนมากจึงมาสมัครงาน และเช่าบ้านอยู่ได้ ๔ วัน  อยู่กันหลายคน  ส่วนใหญ่เป็นคนรู้จักกัน  เขาอยู่จังหวัดสุรินทร์    บอกว่าพูดได้ทั้งภาษาส่วยและภาษาเขมร  เลยลองให้เขาพูดภาษาเขมรให้ฟัง  อย่างเช่นคำทักทายสวัสดี  ปวดหัว  ปวดท้อง  ต่อราคาของ  ซึ่งมันก็คล้ายกับที่ฉันเคยได้ยินจากคนไข้เขมรที่มารักษาที่โรงพยาบาล  ดูหน้าตาเขาก็ซื่อๆนะ  ความไว้วางเริ่มเข้ามา  ความกลัวและระแวงเริ่มหายไป เมื่อสอบถามว่าแผลที่ศีรษะโดนอะไรมา  เขาบอกว่าโดนฟันมา  และบอกว่าคนที่ฟันก็หนีไปแล้วเป็นคนรู้จักกันที่เช่าบ้านอยู่ด้วยกัน  ตั้งแต่วันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๕ แล้ว  วันนี้จะไปแจ้งความและจะกลับบ้าน  พร้อมขอเงินค่ารถกลับบ้าน  จากคำพูดและลักษณะท่าทางคล้ายคนดื่มสุราเป็นประจำ แต่วันนี้ไม่มีกลิ่นเหล้าติดตัว 

           “กินเหล้าบ่อยมั้ย”  ฉันถามเพราะอยากรู้

        “ไม่บ่อยเจ๊ เวลาเจอเพื่อน หรือมีงานก็จะกินเป็นครั้งคราว”  เขาตอบฉันเสียยืดยาว  พร้อมคำสาบถสาบาน  แต่ฉันไมเชื่อเพราะประสบการณ์เคยเห็นคนเมา คนกินเหล้ามามาก และบอกเขาไม่ต้องสาบานขอให้ลุงทำอย่างที่ลุงพูดก็พอ

          “วันนี้กินไปเยอะมั้ย  ไม่ต้องโกหกหรอกนะ”  ฉันถามดักคอไปเลย

          “เมื่อเช้ากินไป ๑๐ บาท”  ยอมรับโดยดุษฎีเลยนะลุง

          “ไหนเมื่อกี้บอกว่าไม่มิเงิน  ยังไม่ได้กินข้าว  แล้วทำไมเอาเงินไปซื้อเหล้ากิน”  เมื่อได้ยินคำตอบเช่นนั้น  ฉันจึงถามกลับทันที  แล้วเขาก็บอกเหตุผลกับฉันว่ากินเพื่อให้เลือดมันวิ่งไปเลื้ยงหัว  โอ้ยลุง ว่าเข้าไปนั่น  นี่มันอาการคนติดเหล้าชัดๆ  แต่ยังดีนะที่ไม่มีกลิ่นเหล้าติดตัว 

          “ลุง ทำไมถึงถูกฟันที่หัวล่ะ ?”  ฉันถามเข้าประเด็นสำคัญพอดี   เห็นผ้าปิดแผลแล้วแผลคงใหญ่นึกในใจว่าคงกะฆ่ากันให้ตายหรือเปล่า  หรือแค่สั่งสอนเท่านั้น

            “เขาหาว่าผมเก๋า”  ลุงตอบมาแบบหน้าตาซื่อๆ  ฉันฟังแล้วทั้งขำทั้งสงสาร

            “เก๋า แบบไหนเหรอลุง  สงสัยลุงเมาแล้วพูดจายียวนกวนประสาทเขาหรือเปล่า  หรือเหล้าเข้าปากแล้วนักเลงเขาเลยฟันหัวเอาเนี่ย”

            “ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมเก๋าแบบไหน”  ว่าเข้าไปนั่นเลย  ก็ไม่ได้ซักไซ้ไล่เรียงอะไรต่อ  ถามไปเท่าที่อยากรู้  เห็นมีผ้าปิดแผลที่ข้อมือคิดว่า  คงเอามือป้องกันตัว  กันไว้ที่ศีรษะเลยถูกฟันเข้าไปด้วย 

            ระหว่างทางก่อนถึงโรงพัก  ผ่านโรงพยาบาลแก่งคอยอีกแห่งหนึ่งที่เปิดให้บริการแบบผู้ป่วยนอกเท่านั้น (Extended OPD)  ฉันจึงบอกเขาว่า  แจ้งความเสร็จแล้วก็ให้แวะมาทำแผลก่อนกลับบ้าน  ส่วนเงินค่าทำแผลไม่มีก็บอกเขาไป  หมอเขาไม่ใจดำหรอก  ไม่มีเขาก็ไม่เก็บ 

          เมื่อส่งถึงหน้าโรงพักแก่งคอย  ฉันจึงถามกลับไปว่าถ้าให้เงินค่ารถกลับบ้านแล้วจะถึงบ้านมั้ย  ค่ารถเท่าไร  เขาบอกว่าจะกลับบ้านจริงๆ  ขอค่ารถ ๕๐๐ บาท ถึงสุรินทร์  ฉันก็ไม่ทราบว่าเท่าไรจริงๆ  แต่ฉันมีเงินติดตัวอยู่ ๓๒๐ บาท ควักเงินออกจากกระเป๋าให้เขาดู  ว่ามีไม่ถึง ๕๐๐ บาท จะแบ่งให้ลุงจะเอาเท่าไร  เขาบอกฉันว่าขอ ๓๐๐ บาทเลย  ฉันเลยบอกว่า  “ถ้าให้ลุง ๓๐๐ บาท หนูก็ไม่มีเงินกินข้าวกลางวัน  หนูช่วยค่ารถลุง ๒๕๐ บาท ก็แล้วกัน”  และเน้นว่าแจ้งความแล้วอย่าลืมทำแผลก่อนกลับบ้านเดี๋ยวแผลเน่า(อักเสบเป็นหนอง)  ขอให้ลุงเดินทางกลับถึงบ้านโดยปลอดภัย  ถ้าค่ารถไม่พอก็ขอตำรวจเขาเพิ่มนะเผื่อเขาใจดีช่วยลุงอีก  ลุงยกมือไหว้ขอบคุณฉัน ฉันอวยพรให้ลุงเดินกลับบ้านอย่างปลอดภัย  เห็นหลังเขาเดินไปนึกให้สงสารเพิ่มขึ้นว่าเงินที่ฉันช่วยจะทำให้เขากลับถึงบ้านมั้ยหนอ  เพราะที่บ้านคือที่ที่อบอุ่น  มีญาติพี่น้อง...ถ้าลุงไม่ทำเก๋า  ลุงคงไม่โดนฟันหัวแบบนี้  โชคดีนะคะลุง “เก๋า”

 

          นี่แหละหนาเขาว่า  สุรายาเสพติด มีแต่นำพิษภัยมาสู่ตัว  หากกินอย่างมีสติ  ศีรษะคงไม่แตกอย่างกรณีของลุง "เก๋า" เช่นนี้

 

          "เก๋า"  พยายามค้นหาความหมาย  แต่ไม่พบ  คิดว่าหลายคนคงเข้าใจตรงกันนะคะ  ว่าเป็นลักษณะอาการที่แสดงทำให้ผู้พบเห็นไม่พึงพอใจ ทั้ง กิริยา  ท่าทาง  และวาจา

 ๓๐  สิงหาคม  ๒๕๕๕

คำสำคัญ (Tags): #namsha#เขาว่าผมเก๋า
หมายเลขบันทึก: 500947เขียนเมื่อ 2 กันยายน 2012 15:43 น. ()แก้ไขเมื่อ 5 ตุลาคม 2012 01:06 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (13)

หวาดเสียว เจอเต็มหัวเลย ท่าจะเก๋าจริงๆ

ขออนุโมทนากับการช่วยเหลือคนยากครั้งนี้ด้วยครับ

อ้อ.... ลักษณะอาการ...ที่แสดงทำให้ผู้พบเห็น...ไม่พึงพอใจ ทั้ง กิริยา  ท่าทาง  และวาจา .... เป็นเช่นนั้นนะคะ

ขอบคุณค่ะ  คุณธ.วั ช ชั ย   ถ้าสังคมปัจจุบันไม่น่ากลัว  ว่าจะมีภัยถึงตัวเมื่อใด แม้แต่การช่วยเหลือใครสักครั้ง  สักคน  ยังคิดแล้วคิดอีก  สังคมคงน่าอยู่กว่านี้นะคะ

เราเข้าใจตรงกันนะคะ พี่Somsri 

ขอบพระคุณที่แวะมาให้กำลังใจน้องค่ะ

น้ำชา จ๊ะ

นำเรื่องมาเล่าอีกนะ แต่ก่อนอื่นมาช่วยพี่  ทำ HA ด้วยนะ เพราะพี่ว่า น้ำชา เก๋ากว่า

 

เก๋าแต่ไม่กึก ต้องเก๋ากึกถึงจะเจ๋ง น้องน้ำชาจ่ายค่าเก๋าไปด้วยใจกรุณา

ขอบคุณค่ะ ♥พี่อุ้มบุญ♥ ที่ให้เกียรติน้อง    น้องยังไม่เก๋าขนาดน้าน อิอิ แต่พอช่วยได้ค่ะ  

แจกันดอกไม้คุ้นนะคะ  น่ารักจัง

555 ขอบคุณค่ะท่านวอญ่า

 

จิตใจดีงามมากเรยครับ

แต่ เอ๊ ผมเพิ่งรู้นะ ว่าถ้าไม่มีเงินไปล้างแผล หมอเขาจะล้างให้โดยไม่คิดเงินด้วยอะ อิอิ (อยู่แก่งคอยมานาน ไม่เคยรู้เรย)

  • เห็นภาพบนแล้วอยากเป็นทหาร
  • 555
  • ท่าทางลุงแกเก๋าจริงๆด้วย
  • ทำทานทำด้วยความบริสุทธิ์ใจก็พอแล้วครับ
  • พี่สบายดีไหมครับ

สวัสดีค่ะอาจารย์ ดีใจจังเลยที่อาจารย์มาเยี่ยม

สบายดีค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท