ดินที่มีสารพิษในรูปแบบต่างๆหลากหลายสะสมก็จะจมปลักอยู่กับอาการแคระแกร็นผลผลิตตกต่ำ
ผืนดินที่ผ่านการใช้สารเคมีมาอย่างยาวนาน จากการทำเกษตรในรูปแบบเดิมๆที่ยึดติดกับการป้องกันโรคแมลงแบบใช้สารเคมีที่มีสารพิษตกค้างปนเปื้อนลงสู่ดินน้ำลำธารและอากาศทำให้บรรยากาศในบริเวณพื้นที่ประกอบการเกษตรไม่ปลอดภัยไรัสารพิษ จะมีไอดินกลิ่นสารเคมีผสมปนเปทำให้ปวดเศียรวิงเวียนศรีษะแก่ผู้ที่สัมผัสสูดดมกลิ่นไอของธรรมชาติโดยหวังจะรับโอโซนที่บริสุทธิ์เข้าไปให้เต็มปอดเต็มพุง
นอกจากจะมีสารพิษปนเปื้อนทำให้อากาศแย่แล้วสารพิษที่ตกหล่นปนเปื้อนอยู่ในดินก็จะส่งผลทำให้ดินนั้นเป็นดินที่มีสารพิษยับยั้งกีดกันการเจริญเติบของพืชมิให้มีการเจริญเติบได้อย่างสะดวกสะบายจะมีสารบางตัวที่ทำให้พืชชะงักกักกั้นมิให้พืชงอกงามได้อย่างปรกติโดยเฉพาะอย่างยิ่งพ้ืนที่ที่มีสารคุมและฆ่าหญ้าที่ส่วนใหญ่เกษตรกรจะใช้กันจนเป็นอาจินชาชินเหมือนยาสามัญประจำบ้านวันหนึ่งวันใดที่ขาดหายไปเหมือนชีวิตขาดสิ่งสำคัญบางอย่างไปทำอะไรต่อไปแทบไม่เป็น
ดังนั้นดินที่มีสารพิษในรูปแบบต่างๆหลากหลายสะสมก็จะจมปลักอยู่กับอาการแคระแกร็นผลผลิตตกต่ำ ทำมาหากินบนพื้นดินเหล่านี้ก็ตกต่ำคว่ำหน้าหาความเจริญก้าวหน้าไม่ได้ แต่อย่าเพิ่งท้อแท้หมดกำลังใจไปก่อนนะครับ ยังมีหนทางแก้ไขทำให้ดินเสียกลับมามีคุณภาพปลอดภัยไร้สารพิษได้ดังเดิมด้วยการใช้กลุ่มหินแร่ภูเขาไฟอย่างพูมิช(pumice), ม้อนโมริลโลไนท์(Montmorillonite),และไคลน็อพติโลไลท์ (Clinoptilolite) ซึ่งมีคุณสมบัติแก้ไขยับยั้งระงับจับสารพิษที่ตกค้างอยู่ในดินด้วยมีค่าซี.อี.ซี. (Catch Ion Exchange Capacity) ที่นอกจากจะมีความสามารถในการจับตรึงปุ๋ยให้เป็นปุ๋ยละลายช้าแล้วยังสามารถที่จะทำหน้าที่เป็นท๊อกซินบายเดอร์ จับสารพิษที่ตกค้างอยู่ในดินให้เสื่อมสภาพลง (หนังสือ การปลูกพืชผักปลอดสารพิษด้วยภูไมท์ แต่งโดยอาจารย์ดีพร้อม ไชยวงศ์เกียรติ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ปี2541) ทำให้ดินที่มีสารเคมีและยาฆ่าแมลงเป็นดินที่สะอาดขึ้นพร้อมต่อการปลูกพืชได้ต่อไปแบบไร้สารพิษ
มนตรี บุญจรัส