จดหมายถึงป่าน "สละเป็น เย็นได้ สุขเพราะให้ ได้ยิ่งกว่า"


หมายเลขบันทึก: 496445เขียนเมื่อ 30 กรกฎาคม 2012 03:38 น. ()แก้ไขเมื่อ 3 ตุลาคม 2012 14:28 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)

ความสุข คือ ...ทุกข์ให้น้อยที่สุด
ขณะหนึ่ง ผมเองก็เชื่อมั่นและศรัทธาในระบบคิดที่ว่า...
"มีไม่น้อยเหมือนกัน ที่ใครซักคน ยอมทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อใครซักคน ทั้งๆ ที่สิ่งนั้น ตนเองก็เจ็บปวด ทุกข์ท้อใจ..."

ครับ-บางทีการให้ ก็เดินทางอยู่เหนือตรรกะบางอย่าง..
ผมยึด ใจนำพา...ศรัทธานำทาง
สุขที่ได้ทำ...และสิ่งที่ทำ ก็กระทบกับคนรอบข้างน้อยที่สุด

นี่คือรสชาติ และนิยามของชีวิต

...ขอบคุณครับ...

...เป็นจดหมายที่ส่งถึงได้หลายๆคนเลยครับ โดยเฉพาะเรื่องการ "ให้ อภัยได้ สละเป็น เย็นได้"

อีกหนึ่งแนวคิดที่พาจิตสงบร่มเย็นค่ะ...

ขอบคุณทุกท่านนะค่ะสำหรับกำลังใจ  นี้คงจะส่งถึงป่านหลานรักด้วยค่ะ

นานแล้วค่ะ ที่ไม่ได้เขียนจดหมาย.. อ่านแล้วมีความสุขค่ะ

 

ขอเป็นกำลังใจให้ผู้ที่พยายามทำหน้าที่โดยสมบูรณ์แล้ว

เรียนพี่ผู้หญิงและพี่ผู้ชายที่เคารพ

    ก่อนอื่นผมต้องขอขอบคุณผู้ที่จะอ่านเนื้อความในจดหมายฉบับนี้ให้พี่ทั้งสองฟัง เพราะด้วยดวงตาพิการของพี่ทั้งสองคงไม่อาจเห็นสิ่งที่ผมจะเขียนต่อไปนี้ได้ และพี่คงประหลาดใจที่ได้รับจดหมายฉบับนี้จากผม ซึ่งไม่ได้เป็นญาติมิตรหรือแม้กระทั่งคนที่เคยรู้จักกัน ผมก็เป็นเหมือนคนอื่นๆ ที่เดินผ่านไปผ่านมาบริเวณริมถนนใต้สะพานลอยคนข้ามที่พี่ทั้งสองคนนั่งรอรับความเมตตาจากพวกเขาเหล่านั้น พี่ผู้หญิงร้องเพลงและโยกตัวไปมาตามจังหวะ ส่วนพี่ผู้ชายนั่งเล่นอิเล็คโทนเก่าๆ อยู่ข้างๆ เป็นภาพที่ผมเห็นอยู่เกือบทุกวัน เวลาที่เดินไปพักทานข้าวกลางวัน
    เมื่อเดือนที่แล้ว วันที่เท่าไรผมจำไม่ได้แม่นและเหมือนอย่างเคย คือผมต้องเดินผ่านบริเวณที่พี่ทั้งสองนั่งอยู่ประจำ บริเวณนั้นมีกลิ่นอับ ไม่สู้ดี เมื่อเข้าใกล้ทีไรผมหายใจได้ไม่คล่องหรือถึงขั้นต้องกลั่นหายใจในบางครั้ง ยังเห็นพี่ผู้หญิงร้องเพลงเต็มเสียงประชันกับเสียงดนตรีผ่านเครื่องขยายเสียงที่บรรเลงโดยพี่ผู้ชาย ฟังดูไม่น่าจะเป็นเพลงเดียวกัน มันไม่สามัคคีกันเหมือนท่าทางของคนร้องและคนเล่น ผมขอสารภาพว่า วันนั้นเป็นครั้งแรกที่ผมล้วงเหรียญในกระเป๋ากางเกงซึ่งเพิ่งได้รับเป็นเงินทอนจากค่าข้าวกลางวันและหย่อนใส่ลงในกระป๋องที่วางบนตักของพี่ผู้หญิง ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไรมาก แต่พอเข้ามานั่งทำงานตามปกติ ผมกลับนึกสงสัยตัวเองว่าทำไมผมถึงได้ทำสิ่งที่ต่างไปจากเดิม คือแทนที่จะเดินผ่านไปเฉยๆเหมือนเก่า กลับคิดอยากจะควักสตางค์ให้ 
    ช่วงนั้นผมมีความไม่สบายใจอยู่บางประการ รู้สึกเบื่อหน่ายกับความเห็นแก่ตัวและความต้องการที่ดูเหมือนจะไม่มีวันเติมได้เต็มของคนบางคน ถ้าเปรียบพี่ทั้งสองคนเป็นผู้รับ ซึ่งได้แลกกับการทำหน้าที่ที่พอทำได้ตามอัตภาพอย่างภาคภูมิใจและมีความสุข ผมในฐานะผู้ให้ในวันนั้น ก็มิได้ให้ด้วยเพราะความสงสารหรือต้องการให้เป็นหนี้บุญคุณกันแต่อย่างใด เป็นเพียงการหยิบยื่นไมตรีจิตและเพื่อเป็นพยานสำหรับผู้ที่ดำเนินชีวิตอย่างเข้าใจชีวิตโดยไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค มูลค่านับเป็นตัวเงินที่ผมใส่ให้ในกระป๋องมีเพียงไม่กี่บาท แต่สิ่งที่ผมได้รับกลับมีค่ายิ่งกว่ามาก และถ้าสิ่งนี้คือสิ่งที่เรียกว่า “อนิสงค์จากการให้” ผมขอส่งมอบความยินดีและความชื่นใจนี้ ไว้เป็นกำลังใจแก่พี่ทั้งสองคนมา ณ ที่นี้ด้วย

                            ด้วยความเคารพรักอย่างสูง    
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท