เป็นคนโชคดีที่ได้มีลูกอย่างที่ฝันอยากจะมี เพราะตั้งแต่เล็กจนโตเข้าสู่วัยรุ่นจะเป็นคนที่ชอบอยู่กับตัวเอง เป็นลูกคนกลางที่ดูเหมือนจะมีปมด้อยเล็กๆโดยไม่รู้ตัว เป็นลูกคนเดียวในบรรดาพี่น้องห้าคนที่คุณพ่อคุณแม่ยกไปให้คุณปู่คุณย่าเลี้ยงตอนเล็กๆแม้เป็นช่วงเวลาไม่นาน แต่ก็เป็นปมในใจเพราะจำได้ถึงวันที่ตื่นขึ้นมาแล้วรู้ว่าเขากลับกันหมดแล้ว เหลือแต่เราอยู่กับคุณปู่คุณย่า ร้องไห้เป็นวันๆจนคุณปู่โทรศัพท์บอกพ่อว่าให้มาเอากลับไปได้แล้ว และจำได้ว่าเป็นเด็กดื้อขึ้นมาทันทีหลังจากนั้นจนคุณปู่ระอา แต่เป็นดื้อเงียบๆ กลับมาอยู่กับครอบครัวอีกทีในปีถัดมาก็รู้สึกว่าตัวเองไม่เหมือนเดิม จำได้ว่าคิดไว้ว่าจะไม่แต่งงาน ไม่มีลูก ไม่รู้ตัวเองหรอกค่ะว่าเป็นเพราะอะไร เกี่ยวกับเรื่องนี้ไหม
ช่วงวัยรุ่นมีเพื่อนสนิทผู้ชายมากกว่าผู้หญิง มีคนที่ใครๆคิดว่าเป็นแฟน แต่เราก็ยืนยันมาเสมอว่าจะไม่แต่งงาน แต่แล้วก็มีช่วงจังหวะหนึ่งของชีวิตที่อยากมีลูก และก็ได้มีลูกจริงๆ เป็นโชคดีที่ได้มีลูกถึงสามหนุ่ม เป็นประสบการณ์ที่ดีที่สุดในชีวิตจริงๆสำหรับตัวเอง ความสำเร็จอื่นใดที่มีในชีวิตเอามาเทียบไม่ได้เลย จะว่าไปแล้วน่าจะเป็นเรื่องเดียวในชีวิตที่ตั้งใจให้เกิดขึ้น ในขณะที่เรื่องอื่นๆเป็นเพียงการทำสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตให้เต็มที่และดีที่สุดเท่านั้นเอง ตอนที่มีเจ้าตัวเล็กนั้นเป็นช่วงที่รู้ว่าต้องไปเรียนต่อโทเอกเป็นไฟลท์บังคับ คุณย่าจะขอลูกชายสุดท้องไปเลี้ยง บอกได้ทันทีว่าไม่ให้ลูกไปอยู่กับใครแน่นอน จะเลี้ยงลูกด้วยตัวเราเองทั้งหมด บอกคุณสามีไว้ก่อนเลยว่าถ้าไม่มีลูกไปด้วยจะไม่ไป ก็ต้องบริหารจัดการจนได้ไปอยู่ด้วยกันมาตลอดหกปี ห่างหายกันแค่ 4-5 เดือนที่ไปในช่วงแรกตามกฎข้อบังคับของทุนเท่านั้น
มาถึงวันนี้ที่ทั้งสามหนุ่มเป็นตัวของเขาเอง เชื่อว่าพื้นฐานจิตใจของลูกมั่นคง สามารถอยู่ในสังคมได้อย่างมีประโยชน์และน่าจะเป็นกำลังที่ดีของโลกในแบบของเขา สำหรับตัวเองไม่เคยมีความคิดว่าจะมีสามีหรือลูกเพื่อมาดูแลอยู่เป็นเพื่อนเราในยามแก่เฒ่า ไม่วางแผนอะไรในอนาคตมากไปกว่าพยายามดูแลสุขภาพตัวเองให้สามารถอยู่ได้อย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดีเท่าที่ตัวเองจะทำได้ แต่ก็หวังไว้ว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของลูกไม่ว่าดีหรือร้าย ขอให้เขาคิดถึงเราเมื่อเขาต้องการเพื่อน ต้องการกำลังใจ ต้องการที่พึ่ง ประทับใจประโยคหนึ่งที่อ่านพบเมื่อไม่นานมานี้และคิดว่าตรงใจและเข้ากับความคิดเรื่องการเลี้ยงลูกมากๆ ที่เขาบอกว่า "If you do your job well, they'll always come back to you."
บันทึกนี้ตั้งใจจะเขียน เพราะลูกชั้นมอสามเอาใบเซ็นชื่อมาให้ลงชื่อว่า จะไปร่วมงานวันแม่ในเช้าวันหนึ่งหรือไม่ กำลังดูวันที่และเวลาว่าเป็นตอนไหน เราติดอะไรไหมจะจัดเวลาไปได้หรือเปล่า ลูกบอกว่า แม่จะไปเหรอ ไปนั่งฟังอะไรน่าเบื่อๆไม่ต้องไปก็ได้ หันไปถามว่า จริงเหรอ ดีใจมากเลยที่ลูกคิดเหมือนใจเรา ลูกทั้งสามหนุ่มไม่เคยให้ความสำคัญกับวันอะไรต่างๆเหล่านี้ เท่าที่เคยคุยกัน เราก็ได้รู้ว่าลูกคิดเหมือนเราตรงที่วันพ่อ วันแม่ที่โรงเรียนเชิญพ่อแม่มานั้น น่าจะเป็นวันเศร้าๆของคนที่ให้ความสำคัญกับวันนั้นๆแต่ไม่มีพ่อหรือแม่จะมา เห็นใจเพื่อนๆมากกว่า เหมือนที่เคยเขียนเป็นบันทึกมาแล้ว
บ้านเราไม่มีวันพ่อ วันแม่ วันเด็ก วันครอบครัว แต่...เรามีวันของเราทุกวัน เราทำหน้าที่ของเราด้วยความสุขอย่างเต็มที่ทุกๆวันเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต เราเป็นคนดีทุกวัน เรารักกันทุกวัน เรากตัญญูทุกวัน เราตั้งใจที่จะทำดีๆทุกๆวันไม่ต้องรอให้ถึงวันพิเศษใดๆ บ้านนี้อาจจะไม่เหมือนใครหลายๆคน แต่เราก็ยินดีไปกับความสุขของทุกๆคน และเห็นใจ เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่อาจจะไม่มีคนพิเศษอยู่ใกล้ตัวอีกแล้ว ทุกวันคือวันของเรา แต่เราต้องเป็นคนบอกตัวเองค่ะ
สวัสดีค่ะมาชื่นชมครอบครัวที่มีหนุ่มน้อย สามคนช่างมีความเหมือนกันตรงที่ทุกวันสำคัญเท่ากันหมดนะคะ
อยากแบ่งปันความรู้สึก ชลัญเป็นคนหนึ่งที่ ไม่มีวันพิเศษ ไม่เคยจัดงานวันเกิด ทั้งของตัวเอง คุณป๊า และไจ่ไจ๋ ถ้าจะมีก็บางปีญาติๆนึกได้เขาก็จัดให้เราก็รับๆไปอย่างเสียมิได้ สมัยเรียนมัธยม เคยคิดแบบนี้ตอนนั้นอยู่ ม. 6 บอกแม่่ว่าไม่ต้องไปหรอกวันแม่ แม่มีธุระมากมาย งานเขาจัดแปล๊บเดียว ไม่มีอะไรมากหรอกก็เหมือนทุกปี แม่รู้สึกสบายใจที่ชลัญบอกแบบนั้น แต่พอถึงวันงานจริงๆ มีเด็กอยู่ 6-7 คนที่ผู้ปกครองไม่ไป ภาพที่มันกลับทำให้ชลัญเสียววาบในใจ ภาพของลูกก้มกราบแม่ แม่รับไหว้เอามือลูบหัว ลูก แล้วทั้ง 2 ก็กอดกัน มันทำให้ชลัญร้องไห้ ทั้งที่ 5 ปี ที่เรียน แม่ไปทุกปี ชลัญไม่เคยร้อง กลับหัวเราะคิกคั่กสนุกสนาน จนเป็นครอบครัวตัวโจ๊ก แต่ครั้งนั้นร้องไห้กอดครู จนครูสงสัยว่าทะเลาะกับแม่ ซึ่งจริงๆไม่ใช่ แต่ในความเข้มแข็งที่เรามีมันยังมีความอ่อนแอ อ่อนไหว ที่ตัวเองไม่คิดว่าจะเกิด ต่างหาก แต่เด็กผู้หญิงกับเด็กผู้ชายอาจไม่เหมือนกันค่ะพี่โอ๋ ขอบคุณมากสำหรับบทควมที่ทำให้นึกถึงวันแม่
* อ่านด้วยความสุขใจกับความรักอันอบอุ่นของครอบครัวน้องโอ๋ค่ะ..
* เป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่มั่นคง..ร้อยรัดด้วยความมีเหตุผลที่งดงามอย่างยิ่งค่ะ
ขอบคุณทุกความเห็นและดอกไม้อย่างเต็มหัวใจเลยนะคะ เวลาเขียนบันทึกที่เกี่ยวกับลูก จะเขียนได้ลื่นไหลมาก และย้อนกลับมาอ่านทีไรก็ดีใจทุกครั้งที่บันทึกความคิดที่เกิดขึ้นไว้ค่ะ คิดว่าสิ่งที่ตัวเองเรียนรู้มาจากการเลี้ยงลูกจะได้เป็นประโยชน์กับคนอื่นบ้าง และแบ่งปันความสุขที่ตัวเองได้รับจากการที่ได้เลี้ยงดูพวกเขากับทุกๆท่าน และสิ่งที่หวังมากๆเสมอก็คือ อยากให้ทุกคนที่มีลูกเล็กๆใช้เวลากับพวกเขาให้มากที่สุด เพราะเรียนรู้ทั้งจากตัวเองและคนรอบๆตัวว่าเวลานั้นคือเวลาที่ลูกต้องการเรามากกว่าใคร และหน้าที่การงาน ทรัพย์สมบัติอะไรก็มาแลกกับความมั่นคงในใจของลูกว่าเขามีเราเสมอไม่ได้
อยากบอกว่าตัวเองโชคดีแค่ไหนที่มีแม่.. คอยอบรม เลี้ยงดู สั่งสอน ชี้แนะ
สวัสดีค่ะพี่โอ๋
มาชื่นชมครอบครัวที่อยู่ด้วยความรักความเข้าใจกันค่ะ หลานบ่าวน่ารักกันจังนะคะ
สุขสันต์คืนวันอันอบอุ่นกับครอบครัวค่ะ
มาอ่าน คุณแม่สไตล์ คุณแม่โอ๋ (ที่ไม่โอ๋) ได้ข้อคิดดี ๆ กลับไปทุกบันทึก
ชอบประโยคสุดท้ายมาก ๆ
ทุกวันคือวันของเรา แต่เราต้องเป็นคนบอกตัวเองค่ะ
สุขภาพแข็งแรงนะคะ คิดถึงค่ะ
ทุกวันคือวันของเรา แต่เราต้องเป็นคนบอกตัวเองค่ะ
ชอบประโยคนี้ค่ะ
เยี่ยมมากค่ะ
ไม่ว่าวันใหนก็สำคัญเท่ากันทุกวัน
อยู่ที่เราและทุกคนในครอบครัว
คนอื่นเค้ามีวันเกิดกัน
แต่พี่ไม่มีเพราะวันนั่นเป็นวันที่แม่เจ็บที่สุดจึงสงสารแม่
และไม่จัดวันเกิดแต่จะไปขอพรแม่แทนค่ะ
เป็นครอบครัวตัวอย่างครับ :):)
ชอบประโยคนี้ค่ะ.".เรามีวันของเราทุกวัน เราทำหน้าที่ของเราด้วยความสุขอย่างเต็มที่ทุกๆวันเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต"
เหมือน Krudala ค่ะ ไม่เคยจัดงานวันเกิด นอกจากทำบุญค่ะ
อ่านแล้วมีความสุขอย้างประหลาด ขอบคุTครับคุณโอ๋
เป็นบันทึกที่อ่านไปเรื่อยเปื่อย...แต่พอตอนจบ...ต้องกลับไปอ่านอีกหลายรอบ...ลึกซึ้งและงดงามมากครับ