วันนี้ (21 ก.ค.55) คุณมะเดื่อและพี่ ๆ น้อง ๆ ได้ไปคลายความเศร้าหมองและหดหู่ใจกับการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของน้องชาย โดยการไปกราบพระที่สำนักสงฆ์เขาถ้ำพระประทุนอีกครั้ง โดยจุดมุ่งหมายครั้งนี้นอกเหนือจากการ กราบพระก็คือ การลงไปสำรวจถ้ำพระประทุนชั้นใน ซึ่งได้ทราบว่ามีน้ำตกอยู่ภายในถ้ำนั้นด้วย ในครั้งนี้ คุณมะเดื่อพบว่า ถนนที่ไปยังสำนักสงฆ์นั้นได้รับการปรับปรุงให้อยู่ในสภาพที่ดีขี้น จนรถสามารถแล่นได้อย่างสะดวกขึ้นมาก เนื่องจากท่านนายอำเภอกุยบุรี ได้ให้ความสนใจ มาสำรวจถ้ำนี้ถึง 2 ครั้งแล้ว และมีโครงการที่จะเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ในอนาคตจ้ะ
บันได้ทางขึ้นถ้ำพระประทุนก็ได้รับการปรับปรุงซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพที่สะดวกแก่การใช้งาน ซึ่งยังทำไม่แล้วเสร็จระหว่างทางได้พบกับคนงานที่กำลังก่อสร้างบันไดทางขึ้นถ้ำทำงานกันอยู่
ในการสำรวจถ้ำครั้งนี้ คุณมะเดื่อและคณะได้รับความอนุเคราะห์จาก " อาจารย์สุรินทร์" ผู้ชำนาญทางและเป็นมัคคุเทศก์ให้กับพวกเรา ซึ่งท่านได้ให้ความกระจ่างในหลาย ๆ อย่างเกี่ยวกับถ้ำพระประทุนนี้ ในส่วนที่คุณมะเดื่อและทุก ๆ คนในคณะยังไม่ทราบมาก่อน
อย่างเช่น เจดีย์ตรงปากถ้ำนี้ ท่านอาจารย์สุรินทร์เล่าว่า สันนิษฐานจากรูปทรงและอิฐที่ใช้คาดว่าจะเป็นเจดีย์ที่สร้างในช่วงปลาย ๆ ของกรุงศรีอยุธยา
ท่านอาจารย์สุรินทร์ เล่าว่าบริเวณพื้นถ้ำด้านนอก เคยมีผู้ขุดลงไปพบอิฐเรียงกันคล้ายกำแพง และพบพระพุทธรูปมากมาย (ซึ่งปัจจุบันนำไปเก็บไว้ที่วัดดอนยายหนู)
ถัดจากด้านปากทางเข้าถ้ำ ท่านอาจารย์ชี้ให้ดูที่ผนังก้อนหิน ปรากฏอักษรจีนโบราณดังภาพ ท่านอาจารย์บอกว่า มีผู้รู้เคยอ่านและแปลให้ฟังว่า เป็นการเขียนเกี่ยวกับเทวดา นางฟ้า และเป็นอักษรจีนโบราณที่อายุนับ 100 ปีแล้ว ก่อนหน้านี้จางไปมาก แต่วันนี้กลับเห็นชัดเจนขึ้น (ก็แปลกนิ)
ท่านอาจารย์สุรินทร์ (เสื้อขาวถือไฟฉาย) พาไปดูถ้ำเล็ก ๆ ที่อยู่ด้านหนึ่งของถ้ำชั้นนอก บอกว่า ถ้ำนี้จะเย็นสบาย หน้าร้อนจะเย็นสบาย หน้าหนาวจะอุ่นสบายเช่นกัน จึงเหมาะสำหรับผู้แสวงบุญยิ่งนัก และพวกเราลองกระทืบเท้าที่พื้นถ้ำก็รู้สึกว่า มีเสียงก้อง คล้าย ๆ ด้านล่าง เป็นโพรงถ้ำ
หลังจากนั้น ท่านอาจารย์สุรินทร์ จึงพาคุณมะเดื่อ และผู้ร่วมคณะอีกจำนวนหนึ่งเข้าไปสำรวจถ้ำชั้นใน (หลายคนมีลูกเล็ก ๆ มาด้วยจึงขอรออยู่ด้านนอกเพราะไม่สะดวกในการเข้าในถ้ำชั้นใน) ทางเดินในถ้ำชั้นในจะติดไฟไว้เป็นระยะ ๆ ทำให้ไม่มืดทึบ ประกอบกับในถ้ำกว้างขวาง อากาศถ่ายเทได้จึงไม่อับทึบ
การจะเข้าไปถึงถ้ำชั้นในมีอยู่ช่วงหนึ่งเป็นเหวแคบ ๆ แต่ไม่ลึกนัก จะต้องปีนบันไดเหล็กลงไปที่พื้นถ้ำด้านล่าง และปีนบันได้อีกด้านหนึ่งเพื่อขึ้นไปอีกฝากหนึ่งของเหว ตรงนี้ค่อนข้างจะอันตรายสำหรับเด็ก ๆ แต่สำหรับผู้ใหญ่พอจะปีนขึ้น ปีนลงได้ แต่ก็ต้องระมัดระวังไว้บ้าง
เมื่อข้ามเหวไปได้ ก็จะพบกับความ " อลังการ" ของผลงานศิลปะธรรมชาติที่สุดจะบรรยาย ทั้งหินงอก หินย้อย รูปทรงแปลก ๆ ให้ได้จินตนาการกันไม่สิ้่นสุด
หลวงพ่อท่านนี้ ท่านเพิ่งมาจำพรรษาที่สำนักสงฆ์นี้ บอกว่ายังไม่เคยลงมาในถ้ำชั้นในนี้เลย เพิ่งเคยเข้ามาเป็นครั้งแรก
แท่งหินงอกนี้เหมือน " เกาะตะปู " ที่พังงา
ตรงนี้แหละคือ " Amazimg and unseen " ของถ้ำพระประทุน เป็นจุดที่อยู่กลางห้องโถงใหญ่ และเป็นแหล่ง " น้ำพุ" ซึ่งอาจารย์สุรินทร์บอกว่า หน้าฝนที่ฝนตกชุก จะมีน้ำพุล้นจากด้านบนกระจายทั่วแท่นหินนี้ แล้วไหลลงไปตามแอ่งหินที่ลดหลั่นลงไปข้างล่าง สามารถอาบได้เลย และ ดูเหมือนกับสวนญี่ปุ่นขนาดใหญ่ไม่มีผิด เสียดายที่ช่วงนี้ฝนยังตกน้อย จึงไม่ได้เห็นสายน้ำตกดังกล่าว
ส่วนที่เป็นหน้าผาน้ำตกนั้นอยู่อีกด้านหนึ่ง แต่ช่วงนี้ยังไม่มีน้ำเช่นกัน ท่านอาจารย์บอกว่า ช่วงฝนตกชุกจะมีสายน้ำตกพุ่งลงจากหน้าผาผนังถ้ำเหมือนน้ำตกจริง ๆ สามารถอาบได้ แต่เป็นที่น่าแปลกว่า ไม่ว่าน้ำจะเยอะขนาดไหน ก็จะขังอยู่เฉพาะบริเวณพื้นถ้ำใกล้ ๆ กับน้ำตก แล้วก็จะซึมแห้งหายไปใต้พื้นถ้ำจนหมดสิ้น
ดึงภาพให้ดูชัด ๆ มองด้านข้างตรงลูกศรนะจ๊ะ เหมือนรูปปั้นอะไรสักอย่างไหม ?
นี่เป็นอีก 1 ใน แท่งหินงอกมหัศจรรย์ เพื่อน ๆ ที่อ่านมาถึงตรงนี้ ลองมองดูส่วนบนของแท่งหินในวงกลมสิจ๊ะว่า เหมือนอะไร ?
และแท่งหินนี้ คงไม่ต้องถามว่าเหมือนอะไรเพราะมันเหมือน " ปลาโลมา" ชัด ๆ
ถ้ำนี้เป็น " ถ้ำเป็น" ในวงกลมนั้น คือ " หินที่กำลังงอก" เห็นได้ชัดเจน ตรงปลายแท่งมีหยดน้ำใส ๆ เกาะติดอยู่ และมีอยู่มากมายกระจัดกระจายภายในถ้ำชั้นในจ้ะ
นี่คืออีก 1 ความมหัศ่จรรย์ของธรรมชาติ คือ " ดอกไม้หิน" เป็นหินที่มีรูปร่างเหมือนปะการังเกาะตามก้อนหินในถ้ำที่เกือบจะชั้นในสุด ท่านอาจารย์บอกว่า ตอนนี้ยังตูม ช่วงฝนตกมาก ๆ มันจะบานฟูดอกใหญ่สีขาว (อยากเห็นจริง ๆ )
และนี่คือสัตว์ชนิดเดียวที่เจอให้ถ้ำด้านในสุด เป็นแมงมุมพันธุ์ที่คุณมะเดื่อไม่เคยเห็นมาก่อนขนาดตัวของมัน จากขาด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่งมีความกว้าง เท่า ๆ ฝ่ามือคุณมะเดื่อแหละจ้ะ ท่านอาจารย์บอกว่า นี่ยังตัวเล็ก " โอ๊ะ โ๋อ๋!"
คณะของคุณมะเดื่อชมความมหัศจรรย์ของถ้ำพระประทุนมาจนเกือบจะสุดถ้ำ ซึ่งท่านอาจารย์สุรินทร์บอกว่าเหลือระยะทางอีกราว 20 เมตรจะสุดถ้ำและส่วนนั้นจะงดงามมาก แต่พวกเราตัดสินใจไม่ไปต่อ เพราะสงสารเพื่อนผู้ร่วมคณะของคุณมะเดื่อที่แบกกล้องถ่ายวิดีโอตามไปคนหนึ่ง ซึ่งเพิ่งหายจากการผ่าตัด และดูว่าจะอ่อนแรงแล้ว จึงขอกลับ แต่บอกว่าโอกาสหน้าจะต้องมาสำรวจอีกให้สุดถ้ำเลย
ถ้ำพระประทุน เป็นถ้ำขนาดใหญ่มาก การเข้าชมค่อนข้างสะดวกและปลอดภัย ไม่ต้องก้มตัวลอดโพรงถ้ำ และระยะทางขึ้นไปถึงปากถ้ำราว ๆ 100 เมตร เมื่อเข้าไปถึงชั้นในถ้ำจะพบกับความมหัศจรรย์ชนิดที่เพื่อนร่วมคณะของคุณมะเดื่อบอกว่า "เคยไปถ้ำที่เลื่องชื่อของเวียดนามแล้ว ก็ว่าอลัการงานสร้างแล้ว แต่ที่ ถ้ำพระประทุนนี้ เหนือกว่าเยอะ" จริงหรือเปล่าคุณมะเดื่อก็ไม่ทราบจ้ะ เพราะไม่เคยไปถ้ำที่เวียดนามน่ะ........เพื่อน ๆ คนไหนอยากเห็นความมหัศจรรย์ของถ้ำพระประทุนนี้ ก็เชิญได้ทุกเวลานะจ๊ะ
...............................................