ณ บ่ายวันที่ 11 ก.ค. ในงาน มหกรรม R2R
"มีปัญหาแล้วดีใจ"
ข้าพเจ้าได้ยินท่านอาจารย์กะปุ๋มกล่าว น่าจะสามครั้งได้
แต่ถ้อยคำนี้ ยังคงสะท้อนไปมาในห้วงคำนึงข้าพเจ้าอีกหลายตลบ
"เป็นไปได้อย่างไร" แรกทีเดียว ข้าพเจ้าค้านในใจ
"เพราะมีปัญหา ก็จะได้ใช้ปัญญาแก้ปัญหา" อาจารย์กะปุ๋มขยายความนี้
ตอนห้องย่อย ธรรมะ ทำมะ ฯ
...
ตอนที่พี่สมหญิง "อุ้มบุญ" พูดถึงประสบการณ์ตัวเองก่อนรู้จัก R2R
คำว่า "ทุกข์" ตัวสีส้มเต็มจอนั้น
เหมือนเข็มที่มาสะกิดฝี ในใจตนเอง
ประสบการณ์เมื่อตกในบทบาท ซึ่งตัวเราไม่อยากรักและไม่อยากรับ
อะไรๆ รอบตัวก็ดูเป็นปัญหา
นำมาซึ่งความรู้สึก "เป็นเหยื่อ"
สร้างทุกข์ฝังลึกและเรื้อรัง
ซึ่งคนที่แก้ทุกข์ให้เราได้ ก็ไม่ใช่อื่นไกล
คือตัวเราเอง ที่เปลี่ยนวิธีคิด
ว่าปัญหา เป็นสิ่งก่อปัญญา
แต่ข้าพเจ้าก็ยังค้างคาใจ ก่อนมีปัญญาจะต้องทุกข์ก่อนไหมหนอ
การเผชิญปัญหาอย่างไรจึงจะสุขด้วย มีปัญญาได้ด้วย
###
เช้าวันที่ 12 ก.ค. จิ๊กซอว์ที่เข้ามาเติม
ได้จากบรรยายของท่านอาจารย์ วิจารณ์
เรื่อง R2R กับการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21
กล่าวถึง "การตีความ" ของท่านเกี่ยวกับ
โมเดลสามพื้นที่ ในหนังสือ Why don't student like school
ภาพจากบทคัดย่อ -excerpt ของหนังสือ
http://www.aft.org/pdfs/americaneducator/spring2009/Willingham(2).pdf
.
ข้าพเจ้าขออนุญาต "ตีความ" ตามความเข้าใจตนเองว่า
มนุษย์เรามีธรรมชาติที่อยากแก้ปัญหา..แต่ต้องเป็นปัญหาที่เชื่อว่าแก้ได้
เพราะการคิดแก้ปัญหาต้องใช้พลังงานมหาศาล
ที่จะให้ความสนใจ - attention รับข้อมูลจากสิ่งแวดล้อม Environment
คัดสรร - selection ข้อมูลเดิมในความทรงจำ Long term memory
ที่ประกอบด้วย อะไร-factual knowledge และอย่างไร-procedural knowledge
มาประกอบ - connection ใน working memory-กระดาษทด อันมีจำกัดจำเขื่ย
.
แต่เมื่อแก้ได้ สมองจะหลั่งสารกระปรี้กระเปร่า-dopamine
อธิบายว่า ทำไมคนอยู่ว่างดีๆ ไม่ชอบ
ชอบเล่นเกมส์อักษรไขว้ ชอบเล่มเกมส์คอมพิวเตอร์
แต่เกมส์นั้นต้องไม่ง่ายเกินไป จนเรารู้สึกไม่น่าสนใจ
และไม่ยากเกินไป จนเรารู้สึกว่าข้อมูลในคลังไม่เพียงพอ
.
การจะเผชิญปัญหา อย่างมีสุขมากขึ้น
จึงน่าจะเลือกปัญหาที่พอเหมาะพอดีเสียก่อน
เริ่มจากปัญหาที่เราสนใจ และมีคลังข้อมูลเดิมอยู่บ้าง
เพื่อบริหารความแข็งแกร่งของระบบ attention
เพื่อบริหารความว่องไวของระบบ selection
เพื่อบริหารการใช้พื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพของ working memory
จะได้พร้อมรับกับปัญหาที่ท้าทายยิ่งๆ ขึ้นไป (อย่างมีสุข..บ้าง)
ง่วงนิดหน่อยเลย คุณหมอ ผมน่ะทุกที
ในกลุ่มเพื่อนสนิทจะอวยพรกันด้วยข้อความว่า
"มีความสุขมากๆ มีความทุกข์น้อยๆ พอเป็นภูิมิคุ้มกันนะจ้ะ"
ขอบคุณข้อคิดและข้อมูลดี ๆ ค่ะ
ผมมองเห็นว่า คุณหมอบางเวลาเป็นตัวอย่างของคนที่ใช้ประโยชน์การสัมมนาได้อย่างเต็มที่และเต็มภาคภูมิอย่างยิ่ง การเดินทางไปในที่ ๆ มีแหล่งความรู้อยู่ คุณหมอบางเวลาไม่ได้ทอดทิ้งสิ่งเหล่านั้น แต่กลับนำสิ่งเหล่านั้นมาถามตัวเองว่า
"จริงหรือ"
"ใช่หรือไม่"
"อย่างไร"
พร้อมการอธิบายความคิดอย่างใคร่ครวญลงในตัวบันทึก เพื่อให้พวกเราที่อยู่คนละสายวิชาชีพและไม่ได้มีโอกาสร่วมงานนั้น ได้เข้าใจคุณค่าบางอย่างมากขึ้น
ขอบคุณครับ ;)...
ง่วงแล้วหลับสักตื่น เพื่อฟื้นเอาเรี่ยวเอาแรงได้ค่ะ :)
ขอบคุณอาจารย์พี่กะปุ๋ม ที่มาเยี่ยมให้กำลังใจค่ะ :)
ต้องขอขอบพระคุณอาจารย์นะครับ...ที่มานั่งฟังพวกเรา...ทั้งที่อาจารย์ต้องไปอีกห้องหนึ่งครับ...ยินดีที่ได้พบกัน...แม้ในช่วงเวลานิดเดียว....แต่เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดและประทับใจมากครับ...คงจะพบกันอีกนะครับ...รื่นรมย์ในความทุกข์นะครับ...
มีทุกข์น้อยๆ พอเป็นภูมิคุ้มกัน
...
หมายถึง ให้ระลึกถึงทุกข์บ้างเพื่อสร้างปัญญาหรือเปล่าค่ะ
เป็นคำอวยพรที่แฝงนัยลึกซึ้งมาก
ขอบคุณค่ะ
ขอบคุณค่ะอาจารย์ "ผู้อยู่เบื้องหลัง" และ "หันหลัง" ตลอด :)
ประทับใจที่ท่านอาจารย์วิจารณ์ เป็นแบบอย่างของครูในศตวรรษที่ 21
ท่านอ่านหนังสือหลายเล่ม แล้วนำมาถ่ายทอดโดยใช้คำว่า "ตีความ"
ซึ่งท่านกล่าวว่า หมายถึง ไม่รับรองว่าถูก หากใครจะคิดต่างจากนี้ก็ไม่ตัดสินว่าผิด
จึงเปิดกว้างให้ผู้ฟังจินตนาการ เอาไป "ตีความ" ต่อได้ค่ะ
สุดยอดเลยค่ะ
ยินดีเช่นกันค่ะ ถ้าเป็นไปได้ R2R ปีหน้าก็อยากส่งผลงานเพื่อเรียนรู้สักครั้ง
ขอบคุณมากสำหรับผ้าความหนาพอดีคลุมกันหนาว
กับลายเซ็นบนหนังสือ (มีเล่มเดียวในโลก ! :)
ขอบคุณค่ะ :)
* อ่านแล้ว คิดถึงคำกล่าวที่ว่า คนใดไม่เห็นทุกข์...คนนั้นไม่เห็นธรรม..
* ทุกข์ที่ว่านั้นคือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย..
* ธรรมที่ว่านั้นคือ ความไม่เที่ยงแท้ของสรรพสิ่ง พึงใช้สติปัญญาไตร่ตรอง เพื่อความไม่ประมาทเถิด..
ขอบคุณค่ะ หยาดฝนเกาะเรียงเป็นแถว การจับภาพนี้มาแสดงว่า บันดาลใจอะไรพี่ใหญ่บางอย่าง เกี่ยวกับเห็นทุกข์เห็นธรรมด้วยใช่ไหมค่ะ