ผู้เขียนเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่สนใจเรียนรู้ และเพ้อฝัน
แต่ไม่เคยรู้เลยว่าเมื่อวันเวลาที่ผ่านมาความรู้ที่เราได้มามันเป็นความรู้ที่มีค่าอย่างแท้จริงหรือไม่ จนวันหนึ่งเมื่อตัดสินใจออกเดินทาง จึงมองเห็นโลกที่แท้จริงว่าความรู้ที่คิดว่ามากมายที่เรามี เทียบไม่ได้กับโลกกว้างๆใบนี้เลย
โลกสวยงามและง่ายดายของเด็กในยุคปัจจุบันนี้ก็คงเช่นกัน..ความพรั่งพร้อมที่ทำให้เด้กไม่รู้ที่มาของคุณค่าเวลาและสิ่งของ
ช่วงระยะเวลาหนึ่งที่ผู้เขียนตะลอนเดี่ยวด้วยกระเป๋าใบเดียว มันทำให้เรามีเวลาได้คิดว่า งานที่หลายๆคนเบื่อระอาและซักแต่ว่าทำกันไปวันๆ หรือเงินเดือนที่มนุษย์เงินเดือนปั่นสร้างมาเพื่อกระจายมันออกมันด้วยความสุขสั้นๆ เราเครียดกันในสังคมทุกเรื่องทุกเวลา เพื่ออะไร
ครั้งหนึ่งเมื่อคราวอยู่ใต้ เจ้านายใจบุญส่งโดนัทเล็กๆชิ้นหนึ่งให้เป็นรางวัล สาวพม่าดีใจเหมือนอยากเก็บไว้จนกว่าจะละลายไปต่อหน้า...แม้ว่าถูกจำกัดเสรีภาพ และใช้งานเกินค่าราคาแรงงาน....
นั่นคือน้ำใจ (ที่ผู้เขียนคิดเอาเอง)
หญิงแก่อายุ 70 เลี้ยงดูคนชราที่เป็นอัมพาตพร้อมหลานอีกสามคน หญิงพิการตัวเล็กไม่มีขากับครอบครัวเล็กๆ ยายขี้เมาในสลัม หญิงเย็บผ้าที่มองหาสามีชาวต่างชาติ ทุกคนที่รู้จักล้วนยากจนทั้งสิ้น แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผุ้เขียนแอบเก็บมาได้ นั่นคือ "ความสุข" ในใจของคนในครอบครัว เขาไม่ได้รวย ไม่มีเงินเดือน ไม่มีรถหรู แต่ดูคนเหล่านั้นเกื้อกูลและใส่ใจกัน
แล้วทำไมคนที่มีการศึกษาดี ฐานะสูงโอกาสมากกว่า มันจึงหายากเหลือเกิน กระนั้นแล้วสังคมเมืองที่เรียกว่าความเจริญมันศิวิไลจริงหรือ การศึกษาที่ว่าเป็นการเรียนรู้ เรามาถูกทางกันหรือยัง..
เราจะกลับไปทันไหม จะเริ่มที่ตรงไหนก่อนดี หรือจะมีตำราใดๆที่ไหนอีกหนอที่พอจะช่วยเมืองไทย
ตลอดเส้นทางเดิน เราสามารถเรียนรู้ ได้ตลอดเส้นทางเดินนะคะ
ขอบคุณสำหรับบทความดีดีนี้นะค