อยากให้ลูกทำอาชีพอะไรในปี 2022


ในยุคต่อนี้ เมื่อประเทศเราเข้าเป็นสมาชิกอาเซียนพวกเราก็สามารถที่จะไปทำงานที่ไหนก็ได้ในประเทศสมาชิก ตัวผู้รับบริการก็เพิ่มขึ้นจาก 70 ล้านเป็น 600 ล้านคน ในประมาณสิบประเทศ โอกาสก็ดีขึ้นสิบเท่านะ อุปสรรค์ก็สิบเท่าเหมือนกันเป็นแน่ และเราก็ได้รู้แล้วว่าแรงงานคุณภาพที่ตกลงให้สามารถไปทำงานได้อย่างเสรี ขณะนี้มี 7 อาชีพ นะครับ ก็มี แพทย์ ,ทันตแพทย์ ,วิศวกร ,สถาปนิค, นักสำรวจ, นักบัญชี ,พยาบาล ครับ

ตอนนี้ลูกผมอยู่มอสอง ฝันอยากเป็นหมอนะครับ เราอยู่ต่างจังหวัดข้อมูลหรือภาพการทำงานของวิชาชีพอื่นๆ นั้นมองไม่เห็น นึกภาพไม่ออกเลย ครอบครัวเราทำงานใน รพ. ภาพการทำงานของคนโรงพยาบาลก็เป็นสิ่งที่เราคุ้นเคย

ด้วยประสบการณ์ที่มีคุณแม่ทำงานเป็นพยาบาล ซึ่งเป็นอาชีพข้าราชการ รัฐจำกัดการเติบโตด้วยภาระทางการเงินของประเทศ จำนวนพยาบาลในงานบริการก็ขาดแคลน ทำให้มีภาระงานหนักมาก การจะเลือกเรียนตรงนี้ ก็ลืมกันไปเลย ส่วนในอาชีพแพทย์นั้นยังเป็นทางออกสำหรับเด็กต่างจังหวัด ก็เลยนิยมเรียนกัน

สิ่งสำคัญที่อยากคุยด้วยก็คือ มีหลายคนนะครับที่เป็นแพทย์ เขาก็ส่งเสริมให้ลูกไปเรียนในสาขาอื่นๆ เรียนด้านกฎหมาย ด้านบัญชี ด้วยว่างานสบาย ไม่ต้องทำงานกับคนป่วยซึ่งไม่มีความสุข เงินตอบแทนก็มากเทียบเท่ากันหรือเหนือกว่า

จากข้อมูลที่มีวันนี้ เริ่มด้วยว่าเรานั้น ประทับใจกับการจัดการการเงินส่วนบุคคลนะ จากหนังสือเศรษฐีชี้ทางรวย ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวของหลักการใช้เงินของบาบิโลน ตรงนี้ก็ทำให้เราอยากเลือกให้ลูกมีความรู้ด้านการบริหารการเงิน สนใจวิชาชีพทางการเป็นนักบัญชี เพื่อที่จะได้ไม่ต้องมาทำงานหนัก อดนอน ชีวิตผิดคนธรรมดา อะไรประมาณนี้ เราได้เล่าได้คุยกันหลายครั้ง ก็ได้แค่รับทราบความปรารถนาของคุณพ่อคุณแม่แค่นั้น

ทำไมนะหรือ ถึงได้เปลี่ยนใจยากนัก

สิ่งสำคัญก็คือ ครอบครัวเรายังเป็นครอบครัวข้าราชการที่ไม่มีกิจการและเงินก้อนรองรับ

เมื่อเรียนจบแล้วก็สามารถใช้วิชาบริหารมาใช้กับกิจการของตัวเอง ตรงนี้เลยทำให้ไม่กล้าในการตัดสินใจเรียนวิชาที่มีความเสี่ยงต่อการหางานทำยาก เขาจึงบอกว่าจะเรียนหมอเป็นพื้นก่อนเพื่อจะได้รอดตัวไว้ก่อนแล้วค่อยไปสร้างกิจการอะไรต่อไป..ในส่วนของการทำตามแนวคิดคุณพ่อคุณแม่น่าจะทำในยุคครอบครัวของเขา ผมก็เลยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อ

ทั้งๆ ที่รู้ว่างานแพทย์ต่างจังหวัดสุดหนัก ชีวิตมีแต่งาน น่ะครับ

 

 

หมายเลขบันทึก: 494375เขียนเมื่อ 11 กรกฎาคม 2012 06:40 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 กรกฎาคม 2012 12:29 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

ผมบอกลูกว่า...เป็นอะไรก็ได้...ขอให้ได้ทำสิ่งที่ตัวเองรัก และช่วยเหลือคนอื่นบ้าง...อย่างน้อยทักทายกัน...สวัสดีครับ

เราก้าวหน้ากันนะครับคุณทิมดาบ วันนี้เราพูดกันไกลเป็นสิบปี อาชีพที่ตนเองรัก หากทำได้จริง คุณพ่อก็ใจกว้างมากๆ ครับ เค้าเกิดชอบ เล่นดนตรี เป็นนักเขียน ..เราก็ติดตามผลงาน และชื่นชมไปกับเขาด้วยนะครับ

  • โรงเรียนมีอิทธิพลมากค่ะ ต่อการเลือกคณะของนักเรียน ในตอน Entrance เข้าสถาบันอุดมศึกษา
  • ดูตัวอย่างจากลูกสาวอ.วิ (คนที่ยืนข้างๆ อ.วิในภาพประจำตัว) สิคะ เธอเขียนอันดับทั้ง 4 ไว้ที่หัวเตียง เป็นแพทย์ทั้งหมด แต่ขณะเรียนในภาคเรียนที่ 2 ของ ม.6 เธอถูกโรงเรียนส่งไปสอบแข่งขันเข้าเรียนในคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมโยธา ในโครงการช้างเผือกของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารลาดกระบัง ซึ่งผู้มีสิทธิ์สอบต้องได้คะแนนเฉลี่ยใน 4 วิชา คือ ฟิสิกส์ เคมี คณิตศาสตร์ และ ภาษาอังกฤษ 5 ภาคเรียนของม.ปลาย 3.50 ขึ้นไป ซึ่งทั้งโรงเรียนประจำจังหวัด (เบญจะมะมหาราช) มีผู้มีสิทธิ์ 2 คน และเธอก็สอบได้เป็น 1 ใน 10 ที่รับจากทั่วประเทศ โดยเป็นผู้หญิงคนเดียว ถามว่าจะเรียนแน่เหรอเพราะเห็นเลือกแพทย์ไว้ทั้ง 4 อันดับ เธอก็บอกว่า ต้องเข้าเรียน ไม่เช่นนั้นรุ่นน้องจะเสียสิทธิ์ แล้วเธอก็เรียนได้แค่เดือนที่ 3 เพราะพบว่าไม่ตรงกับตนเอง
  • ปีต่อมาเธอก็สอบเข้าเรียนได้ในคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เรียนปี 1-3 ไ้ด้คะแนนเฉลี่ย 3.8 ปีที่ 3-4 คะแนนลดลงบ้าง แต่พอเรียนปี 5 เธอก็บอกว่าเธอไม่เหมาะที่จะเป็นหมอ และจะขอลาออก หลังจากไปสำรวจจิตตัวเองที่วัด 2 รอบ แม่ถามว่า ครั้งนี้ลูกเลือกเองนะ โรงเรียนไม่ได้บังคับ เธอก็บอกว่า ก็ไม่เชิง เพราะทางโรงเรียนบอกว่า คนที่เรียนเก่งให้เลือกหมอ (เพื่อให้มีคนสอบเข้าคณะแพทย์ได้มากๆ เป็นชื่อเสียงให้กับโรงเรียน...อันนี้อ.วิพูดเอง) และสุดท้ายแม่ก็อนุญาตให้ลาออกและเธอได้รับเพียงปริญญาตรีวิทยาศาสตร์การแพทย์ค่ะ    

สวัสดีครับอาจารย์วิ Blank เรื่องที่เล่ามา น่าสนใจมากครับ และผมก็ชื่นชมน้องเค้านะ เพราะใจถึง กล้าตัดสินใจครับ กล้าที่จะบอกว่าอะไรที่ตัวเองชอบ ปกติเด็กๆ จะไม่ทำกันเนื่องจากเขาจะเรียนช้าและไปเรียนกับรุ่นน้อง จำต้องเรียนแบบภาคภูมิและจบไปทำงาน ในสาขาที่ฝืน สุดท้ายก็ได้รับความชื่นชมจากคนรายล้อมนะ จากนั้นเขาทำงานในหน้าที่การงานที่ภูมิใจ แต่ภายในใจนั้นแสนจะเป็นทุกข์ แล้วก็บอกใครไม่ได้ สถานการณ์แบบนี้ไม่ดีหรอกครับ 

หากเขาบอกเรา คุยกับเรา และเราก็ยอมเข้าใจเขา เข้าข้างเขา ด้วยหลักที่ถูกต้อง คือทำอะไรก็ได้นะที่หนูมีความสุข เงินทองอาจจะน้อยนะ หากแต่เขาโล่งหัว หรือมีรอยยิ้มเมื่อกลับมาบ้าน แบบนี้ต่อให้ต้องเรียนสิบปี ผมก็ยินดีไปกับลูกด้วย ขอบคุณบันทึกดีดีนะครับ :)

ถ้าปริมมีลูก ปริมจะบอกลูกว่าเป็นอะไรก็ได้ที่อยากเป็น ที่ตัวเองทำได้ดีและรักที่จะทำค่ะ เพราะนั่นจะทำให้เขามีความสุข ตั้งแต่เด็กเราก็เลือกเองมาตลอด ผิดบ้างถูกบ้างแต่ก็ประคองมาจนได้และมีความสุขในสิ่งที่เราทำ ขอให้สมดังหวังนะคะ :)

ขอบคุณคุณปริม นะครับ ขอให้มีลูกบ้าง นะ มันสนุกมากๆ เลยล่ะ

  • ความหวังของพ่อแม่นะครับ "ความสำเร็จของลูก" ขอให้สมหวังอย่างที่ทุกๆคนคิดและวางแผนอนาคตครับ 
  • ขอบคุณเรื่องราวดีๆครับ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท