แม้ตัวฉันนั้นไม่ได้อยู่ในแวดวงการศึกษา บันทึกนี้มาร่วมแจมฝันในฐานะคนไทยที่อาศัยอยู่ 3จังหวัดชายแดนใต้ ที่เห็นลูกหลานและเด็กๆในหมู่บ้านต่างต้องย้ายตัวเองเข้าไปเรียนในเมือง เนื่องจากโรงเรียนใกล้บ้านไม่มีครู หรือมีก็คุณภาพครึ่งแก้ว เด็กๆบอกว่า สายแล้วครูบางคนยังเดินทางมาไม่ถึง บ่ายแก่ๆครูต้องรีบกลับเข้าเมืองเพราะเกรงระหว่างเดินทางมืดค่ำไม่ปลอดภัย เด็กๆจึงมีผลการเรียนที่ต่ำกว่าเกณฑ์
อย่างโรงเรียนบ้านถ้ำทะลุ หนึ่งโรงเรียนในหมู่บ้านของเรา ที่เด็กๆรุ่นเก่าได้ร่ำเรียนมาเมื่อครั้งอดีต ปัจจุบันนั้นมีแต่อาคารร้าง ไร้ซึ่งการเรียนการสอนมากว่า 15 ปีแล้ว ด้วยเหตุผลหลายประการ ...
ฝันนี้ที่คงไกลเกินฝัน ... ที่อยากให้ลูกหลานในชนบทชายแดนใต้ได้รับการศึกษาที่เท่าเทียบกับเด็กๆในภาคอื่นๆ อยากให้มีโรงเรียนและครูที่มีคุณภาพในโรงเรียชนบทบ้าง เด็กๆจะได้ไม่ต้องห่างไกลอ้อมกอดแม่พ่อเพื่อไปเรียนหนังสือในตัวเมืองตั้งแต่ชั้นอนุบาล ...
ผู้ปกครองขาดความเชื่อมั่น ด้วยเหตุผลหลายประการ ... บางครอบครัวที่พอมีกำลังทรัพย์ก็จะส่งลูกหลานออกนอกพื้นที่ และบางครอบครัวก็ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ...
ทุกๆวัน ... ณ ชายแดนใต้ มีเพียงความฝันและความหวัง ที่รำไร ขอความสว่างสดใสคืนกลับในเร็ววัน
ปิดท้ายบันทึกด้วย
คำพูดของลูกหลานชาวบ้านถ้ำทะลุคนหนึ่ง
"คุณนิพล แก้วปลอด"
ถ้าตอบตามโจทย์ แน่นอนว่า (ฝัน) อยากให้การศึกษาไทยเป็นการศึกษามีส่งเสริมความรู้ มีความคิดสร้างสรรค์ ให้เด็กนักเรียน สามารถต่อยอดและเป็นกลไกเล็กๆที่จะพัฒนาสังคมเราได้...แต่สิ่งที่สำคัญกว่าความรู้คือคุณธรรมและจริยธรรม ที่จะได้รับจากสถานศึกษา ทำให้ได้ผลผลิตทางการศึกษาที่เรียกได้ว่า "สะท้อนถึงอนาคต และ สันติภาพในวันข้างหน้าได้เลยที่เดียว" (ไกลไปมั้ยไม่รู้ครับ).... แต่ที่โรงเรียนในสมัยนี้(ตามความคิดผม) ขาดคือ ความร่วมมือของทุกภาคส่วน บ้าน วัด โรงเรียน และชุมชน ถ้าทิศทางของวิสัยทัศน์ไปในทางเดียวกัน จะทำให้การพัฒนาการศึกษาเป็นไปได้ตามโจทย์.... ภาพผู้ปกครอง ไปร่วมกันพัฒนาโรงเรียนแทบจะไม่มีให้เห็น และเด็กนักเรียนที่เข้าไปเล่นในวัดหลังเลิกเรียนก็ไม่มีแล้ว โรงเรียนเลยเป็นแค่ สถานที่เอาเด็กไปฝากเพื่อผู้ปกครองจะออกไปประกอบอาชีพ ความคิดของเด็กจึงขึ้นอยู่กับความรู้ของครูไปโดยปริยาย...
ขอขอบคุณนะคะ สวัสดีค่ะ
...........
สันติภาพ...ความร่วมมือ ==> ในอนาคต
ขอบคุณ บทความดีดีนี้นะคะ
นึกว่าเพลงหนังน้องเดียว"ลมหายใจปลายด้ามขวาน"
ฝันว่าอีก8ปีคงไม่มีข่าวร้ายๆที่ปลายด้ามขวานแล้ว...
ค่ะ บัง มีมาฝาก ค่ะ
ถ้าภาพ(ฝัน)การศึกษาเหมือนกับแฟชั่นที่กลับไปย้อนยุคได้
บ้าน โรงเรียน วัด คือจุดเริ่มต้นการศึกษาไทย
ได้ทั้งหมดที่เด็กไทยสมัยใหม่ขาด (ความรัก ความอบอุ่น เอาใจใส่ วัฒนธรรม ศีลธรรม จริยธรรม)
สุดท้าย สันติภาพ ที่ถูกฝัน ก็ไม่ไกลไปหรอก จริงไหมคะ
(ไม่รู้ทำไมแว้บไปเรื่องแฟชั่นได้นะคะ)
ขอบคุณคุณSomsri ที่เป็นกำลังใจให้นะคะ
บันทึกนี้สร้างความหวัง วาดฝันไว้ ว่าสักวันฝันนั้นจะจับต้องได้
ขอบคุณค่ะ
ขอบคุณกำลังใจจากคุณพ.แจ่มจำรัส นะคะ
หวังไว้เช่นนั้นค่ะ
ขอบคุณค่ะพี่ดาวดาวลูกไก่ ชื่นชมยินดี
ชอบคำเปรียบเทียบของพี่ดาวค่ะ แฟชั่นย้อนยุค การศึกษากับแฟชั่นย้อนยุค
"ให้เด็กๆอ่านหนังสือกระดาษ ไม่ใช่หนังสือในแผ่นกระดานชนวนไฟฟ้า "
ตามบันทึกคุณ nui ที่เขียน ให้เด็กๆ อ่านหนังสือ(กระดาษ) ตั้งแต่วันนี้ ไม่ต้องรอถึงปี 2020
กำลังใจให้ทุกคนค่ะ
ฝันนี้ ณ ปลายด้ามขวาน...ขอร่วมแจม...แต่แจ่มมากครับ
ให้คนในพื้นที่เป็นครูและสอนกันเอง น่าจะดีกว่าวิธีอื่นๆ กระมัง นี่เป็นการบ้านข้อใหญ่ ทำยังไงก็ไม่เสร็จ ;)
ขอบคุณกำลังใจที่มอบให้ค่ะคุณหมอทิบดาบ
ฝันนี้...คงไกลเกินฝัน เพราะเหตุการณ์ในพื้นที่นั้นยังคลุมเครือ
รอวันสว่าง ฟ้าใสที่ปลายด้ามขวาน ขออดีตนั้นคืนกลับ
ขอบคุณค่ะพี่อร
ขอบคุณค่ะคุณเพชร
ใช่ค่ะ เป็นการบ้านข้อใหญ่ ชุมชนจะต้องเข้มแข็งจึงสามารถทำเช่นนั้นได้
ทำอย่างไร แดนใต้ถึงสงบ สงสาร พี่น้องชาวใต้ โดยเฉพาะเด็กนักเรียนที่ไม่เท่าเทียมเด็กที่อื่น ในฐานะที่เคยเป็นครู ขอบคุณ คุณหนูรี ถึงแม้ไม่ได้อยู่ในวงการ ยังมีใจเอื้ออาทร ต่อเด็กที่ขาดโอกาส...น่าห่วงใยอนาคตข้างหน้า ครับ
เยี่ยมชมบันทึก และส่งต่อกำลังใจคะ
เห็นใจในการศึกษาที่อยู่ท่ามกลาง
ความขัดแย้งและความรุนแรง เป็นปัญหาที่ต้องใช้เวลา
เป็นกำลังใจแด่เหล่าทหารกล้าทั้งหลายคะ
" ขอสันติภาพ สู่ปลายด้ามขวาน "
ขอให้ความฝันเป็นความจริงที่หยิบต้องได้ค่ะคุณหนูรี
เอาใจช่วยค่ะ