หัวใจแม่…การศึกษาของผม


วันที่ 5 กรกฎาคม 2555

นานมาแล้ว ชายหนุ่มผู้มีความรักครั้งแรกกับหญิงงามที่สุดนางหนึ่ง

พร่ำแต่รำพันกับนางว่า  “ฉันรักเธอมากที่สุด รักมากกว่าใครในโลกนี้”

หญิงสาวรับฟังด้วยท่าทีสงบงามแล้วบอกให้ดูๆ กันไปก่อน

อย่าเพิ่งรีบร้อนรำพันมั่นใจว่ารักฉันเช่นนั้นเช่นนี้เลย

แต่ชายหนุ่มก็ยืนยันขันแข็ง

 

 

หลายวันหลายเวลาที่ชายหนุ่มผู้ตกอยู่ในห้วงรักนั้นยอมทิ้งงานทิ้งการจากบ้านเรือนของตน

มาเฝ้าอ้อนวอนขอความรักจากนาง ผ่านสัปดาห์ ล่วงเป็นเดือน และเป็นปี

สาวเจ้าก็ยังไม่ตกลงปลงใจ ด้วยนางใคร่ครวญแล้วเห็นว่า

ชายหนุ่มผู้นี้แท้จริงแล้วกำลังหลงใหลความงามของนาง

มากกว่าจะเห็นคุณค่าของการร่วมชีวิตคู่กับนาง

 

 

กระนั้นก็ตาม ชายหนุ่มก็ยังเฝ้าเพียรพร่ำรำพันรักของเขาที่มีต่อนาง

อยู่เช่นเดิมว่า “ฉันรักเธอมากที่สุด รักมากกว่าใครในโลกนี้”

วันหนึ่งหญิงงามจึงกล่าวแก่ชายหนุ่มว่า

“ไม่จริงหรอกที่เธอรักฉันมากกว่าใครในโลก เพราะว่าอย่างน้อยเธอก็คง รักแม่ของเธอมากกว่าฉัน”

นางหวังที่จะให้เขาฉุกคิดและเกอดสติปัญญา แต่แล้วชายหนุ่มกลับตอบว่า

“ฉันขอยืนยัน ไม่ว่าแม่ของฉันหรือใครก็ตามในโลกนี้ ไม่อาจทำให้ฉันรักเธอมากไปกว่าเธอหรอกที่รัก”

 

 

คำตอบของชายหนุ่มทำให้หญิงงามเกิดความรู้สึกลึกๆ บางอย่าง

นางจึงกล่าวแก่ชายหนุ่มต่อไปอีกว่า

“ถ้าเช่นนั้น ให้เธอไปเอาหัวใจของแม่เธอมาให้ฉันสิ ถ้าเอามาได้ฉันจะเชื่อคำพูดของเธอ”

ชายหนุ่มแสดงอากัปกิริยาลิงโลด กล่าวตอบนาวทันทีว่า

“ได้สิที่รัก ฉันจะไปเอาหัวใจของแม่มาให้เธอเดี๋ยวนี้”

 

 

ครั้นแล้วชายชายผู้นั้นก็รีบเดินทางกลับมายังบ้านของตน

เขาได้กระทำในสิ่งที่ใครไม่อาจคาดคิด! นั่นคือ

เขาไม่ฆ่าแม่ของเขา! แล้วผ่าอกควักเอาหัวใจของแม่ออกมา

กึ่งเดินกึ่งวิ่งนำหัวใจของแม่มุ่งตรงไปยังบ้านของหญิงงามผู้เป็นที่รักสุดหัวใจ

ด้วยอารามรีบร้อน ทำให้เขาสะดุดรากไม้ล้มลง ก้อนเนื้อหัวใจของแม่กระเด็น

ไปคลุกฝุ่นอยู่ไม่ห่าง ขณะชายหนุ่มยันกายลุกขึ้น ทันใดนั้น!

 

 

หัวใจของแม่ก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า

“ไม่ต้องรีบร้อนนักหรอกทูนหัวของแม่ ดูซิ หกล้มจนแข้งขาถลอกปอกเปิกไปหมดแล้ว เจ็บไหมลูก”

แทนที่ชายหนุ่มจะได้สำนึกที่ได้ยินคำพูดจากหัวใจของแม่ เขากลับรีบกอบหัวใจของแม่เร่งร้อน

เดินทางไปยังบ้านหญิงที่เขารักต่อไป

 

 

เมื่อมาถึง ชายหนุ่มรีบแบก้อนเนื้อหัวใจของแม่ในฝ่ามือให้นางผู้แสนงามดู

พลางพูดด้วยน้ำเสียงปีติยินดีว่า

“ที่รัก นี่ไง หัวใจของแม่ฉัน ฉันนำมาให้เธอ เพื่อพิสูจน์คำพูดของฉันว่า รักเธอกว่าใครในโลกนี้!”

หญิงสาวแทบไม่เชื่อสายตา นางจ้องมองชายหนุ่มซึ่งอยู่เบื้องหน้าด้วยความรู้สึกยากจะประมาณ

พลางนางก็พรั่งพรูถ้อยคำอันขมขื่นที่สุดในชีวิต

 

 

“อนิจจา! ชายบาปหยาบช้าที่ฉันให้ไปเอาหัวใจของแม่เธอมาให้ฉัน ฉันหมายว่าให้เธอ

ทำให้แม่ของเธอรักฉัน ให้หัวใจท่านยอมรับฉันและรักฉันเหมือนลูกด้วยคนหนึ่งต่างหาก

แต่ไยเธอโง่เง่าถึงกับไปฆ่าแม่ควักเอาหัวใจมาเช่นนี้

โธ่เอ๋ย! นอกจากโง่เขลาเบาปัญญาแล้ว เธอยังเป็นคนใจโฉดหยาบช้าสาหัสเหลือเกิน

 

 

ฆ่าได้แม้กระทั่งแม่ของตนเอง ฉันรักเธอไม่ได้หรอก ถ้าแต่งงานกับเธอ

วันหนึ่งความมืดเขลาเบาปัญญาและจิตบาปหยาบช้าของเธอก็อาจจะฆ่าฉันได้

จงกลับไปเสียเถิด....”

 

 

**********

 

ผมย้อนไปสมัยที่เรียนหลักสูตรหมออนามัย (เจ้าพนักงานสาธารณสุขชุมชน)

หลักสูตร 2 ปี...ได้วุฒิอนุปริญญา...ผมมีเพื่อนร่วมรุ่น 105 คน...อายุตอนนั้นจบมอหกใหม่

อายุ 18 ปี จบ 20 ปี มาทำงานเลย...มีความรู้สึกว่า...ผมยังเด็กมาก

ครูเป็นห่วงพวกเรามาก เพราะจบไปทำงานในหมู่บ้าน...บางคนอาจได้ทำงานที่อนามัยคนเดียว

หลักสูตร 2 ปี จึงเหมือนยัดของเราเหมือนปลากระป๋อง...เรียนหมดเลย

ทั้งงานส่งเสริม-รักษา-ป้องกัน-ฟื้นฟูสุขภาพ...ต้องทำคลอดได้...ซึ่งผมได้ทำคลอดในหมู่บ้าน

จำได้แม่น 8 คน...เล่นเอาหัวใจหยุดเต้น...เหงื่อออก..ตัวสั่น

ได้เรียนการสร้างส้วม...เรียนเต้นลีลาศ

 

 

แอบงง...ครูน่าจะสอนร้องและเต้นหมอลำดีกว่า..เพราะส่วนใหญ่พวกผมเป็นคนอีสาน

และครูสอนการเข้าสังคม...(ไม่ใช่ดื่มเหล้ากับหรือชวนชาวบ้านดื่ม...อันนี้ได้มาจากรุ่นพี่...เข้าชุมชนต้องดื่มเหล้า

ซึ่งช่วงแรกการทำงานผมจึงดื่มเหล้ามาก...และหมออนามัยในช่วงนั้น จะดื่มเหล้ากันมากในการเข้าชุมชน)

ครูบอกว่า สิ่งที่เราได้เรียนแบบนี้ จะทำให้เราทำงานอยู่ในชุมชนได้ถ้าไม่มีครู

 

 

 เมื่อผมกลับไปอ่านสมุดเก่า...ยิ่งตอนนี้...ผมออกอนามัยโรงเรียน หรือประชุม อสม.ประจำเดือน

แล้วคิดถึงครูจัง...ทำไมครูสอนวิชา...”ทักษะความเป็นครู” ด้วย

ตอนนั้นก็แอบงงว่า...พวกเราจะเป็นหมออนามัยนะ...ทำไมให้เรียนครู

บางอ้อเลย...เพราะตอนเราไปพูดหน้านักเรียน  อสม. อสม. และชาวบ้าน ที่มีจำนวนมาก

ผมก็เกิดอาการเหงื่ออกปางตาย สั่นมากครับ

 

 

และได้ยินเสียงกระซิบของครูว่า...การสอนหรือการคุยให้คนอื่นฟัง ต้องมีความหลากหลาย

เช่น เอานิทานมาประกอบการพูด...

แต่อย่าจบแบบ “นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า.....1......2.......3.........”

เพราะจะปิดโอกาสทางความคิด ยกตัวอย่างการสอนเด็กนักเรียนในงานอนามัยโรงเรียน

ควรให้เด็กมีส่วนร่วมคิดและแสดงความรู้สึกแบบปลายเปิด...อิสระ

เพื่อให้เรื่องราวแห่งความครุ่นคิดคำนึงเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ

ยังคงกระเพื่อมจิตสำนึกและจินตนาการ

ค่อยๆ ผลิเผยความงอกงามของความคิดของเด็กแต่ละคน

 

 

เหมือนนิทานเรื่อง “หัวใจ แม่” ของคุณศิวกานต์ ปทุมสูติ

ต้องให้เด็กช่วยกันคิดกันตอบ และไม่จำเป็นต้องหาข้อสรุปก็ได้ เช่น

 

 

*ชายหนุ่มในเรื่องนี้เป็นคนอย่างไร?

*หญิงงามในเรื่องนี้ตัดสินใจถูกต้องไหม เพราะอะไร?

*สงสารใครมากที่สุด เพราะอะไร?

*ถ้าสามารถช่วยแก้ไขเหตุการณ์ จะช่วยใคร อย่างไรบ้าง?

*ถ้าให้แต่งเรื่องตอนจบใหม่ จะแต่งให้เรื่องนี้จบอย่างไร?

 ฯลฯ....

 

 

ถึงแม้ครูจะสอนผมมาหลายปี...ผมยังคิดว่าครูสอนพวกผมอย่างทันสมัย

และยังเหมาะกับการศึกษาไทย 2020 อยู่.....

ผมเสียดายเวลาที่ตอนเรียน...เพราะยังเป็นเด็ก...ไม่ตั้งใจเรียนเลย

เอาพร่ำสอนบอกเสมอว่า...เรียนอะไร...ต้องเป็นวงกลม...สุ-จิ-ปุ-ลิ....

แต่ผมชอบแถมครูตรง...เพิ่ม...นิ...เข้ามา คือ นิทรา....

 

 

ขอบพระคุณครูเสมอครับ...ที่ทำให้ผมกลายเป็นหมออนามัยอย่างนี้

“สิ่งที่ครูเป็น...ครูทำ...สำคัญกว่าสิ่งที่ครูสอน...”

 

 

 

 

 

 

 

 

หมายเลขบันทึก: 493699เขียนเมื่อ 6 กรกฎาคม 2012 06:30 น. ()แก้ไขเมื่อ 10 กรกฎาคม 2012 00:13 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (10)

มีหลายเรื่องที่ได้เคยเรียนมา (ตอนนั้นเห็นว่าไม่สำคัญ) แต่กลับมีความหมายอย่างมาก ในบางประสบการณ์ อย่างที่คุณพ่อน้องทิมดาบเล่ามา

แต่ก็มีหลายเรื่องเช่นกันที่.. จนถึงตอนนี้ (ไม่อยากบอกว่าหลายปีแค่ไหน) ก็ยังไม่ได้นำมาใช้งาน.. เอะสอนมาทำไม (นะ)

 

คุณธรรมนำทาง..ทำให้ดู..อยู่ให้เห็น..ล้วนเป็นบทเรียนชีวิตที่สืบทอดมายาวนานค่ะ

ชอบบทความของคุณหมออดิเรกครับ ประณีตมากๆ..สะท้อนอะไรหลายๆเรื่อง ในเรื่องการศึกษา..ในเรื่องความเป็นครู.. ได้คิดเลยครับ..บางทีเราต้องเปิดโอกาสให้คนอื่นได้คิด ได้ต่อยอดใหม่ การสร้างข้อสรุปนั้น เป้นหัวใจเลยครับ... เห็นฝึกจากนิทานง่ายๆ อย่างนี้..นี่คือฝึกคนทำวิจัยเชิงคุณภาพเลย..

ผมเองมาทำ AI ต้องอาศัยกระบวนการ ผมได้มากๆ จากการมีโอกาสไปอบรมนวัตกรรมการสอน จากอาจารย์คณะศึกษาศาสตร์..ครูครับ..ความเป้นครูนี่ต้องเรียน และต้องดูตามแบบอย่างครับ..

ไม่ว่าอชีพอะไร ผมมองว่า ต้องเสริมวิชาความเป็นครูไปด้วย จะเติมเต็มมากๆ เพราะเราต้องไปสอนคนอื่น..แม้กระทั่งลูกค้ายังต้องสอนเขาเลย..

ขอบคุณสำหรับบทความดีๆครับ

สวัสดีค่ะ

ชอบที่สุดก็ตรงที่.... สุ-จิ-ปุ-ลิ....นิ  ท ร  า

อ่านแล้วอมยิ้มเลย ขอบคุณค่ะ

ใช้นิทานในการสอน ในการประชุม

ล่าสุดทางฝ่ายทันตสสจ พัทลุงชวนไปรับน้อง ก็เล่านิทานให้ฟัง สามพิการรวมเป็นหนึ่ง ในการทำงาน

ทิมดาบแน่ใจนะว่าเป็นน้องชลัญ หุ หุ หุ

  • มาให้กำลังใจค่ะ อ่านบทนี้แล้วได้แรงบันดาลใจเขียนบันทึก (มีพาดพิงถึงคุณหมออดิเรกเล็กๆ :) 
  • เอานิทานมาประกอบการพูด... แต่อย่าจบแบบ “นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า.....1......2.......3.........” เพราะจะปิดโอกาสทางความคิด ยกตัวอย่างการสอนเด็กนักเรียนในงานอนามัยโรงเรียน ควรให้เด็กมีส่วนร่วมคิดและแสดงความรู้สึกแบบปลายเปิด...อิสระ
  • หวัดดีจ้ะคุณทิมดาบ
  • ชีวิตช้าราชการไทยในชนบทไม่ว่าอาชีพใด ๆ ก็ตามมักจะคล้าย ๆ กัน
  • ตรงที่ต้องคลุกคลีกับชาวบ้านทุกเพศทุกวัย
  • ดังนั้น " จิตวิทยา" การพูดต้องพกติดตัวเสมอ
  • ตลอดจนการปรับสภาพตัวเองให้เข้ากับทุก ๆ คนได้
  • บางครั้ง ต้องโยนตำราทิ้งไป  
  • บางครั้งต้องเขียนตำราใหม่
  • บางครั้งต้องขยำตำราหลาย ๆเล่มมารวมกัน
  • ก็คือ...ต้องแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้าใ้ห้รอดไปได้อย่างดีที่สุดน่ะแหละ
  • ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดี ๆ จ้ะ

แวะส่งต่อกำลังใจคะ

ประสบการณ์ชีวิตถือเป็นหลักสูตรชั้นดี

ได้ลองคิด ลองทำด้วยตัวเอง

ทำให้เกิดความแปลกใหม่ น่าสนใจมากขึ้น

แต่ก้าวย่างที่มั่นคงจะมีไม่ได้ หากรากฐานไม่แข็งแรง

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท