นานมาแล้ว ชายหนุ่มผู้มีความรักครั้งแรกกับหญิงงามที่สุดนางหนึ่ง
พร่ำแต่รำพันกับนางว่า “ฉันรักเธอมากที่สุด รักมากกว่าใครในโลกนี้”
หญิงสาวรับฟังด้วยท่าทีสงบงามแล้วบอกให้ดูๆ กันไปก่อน
อย่าเพิ่งรีบร้อนรำพันมั่นใจว่ารักฉันเช่นนั้นเช่นนี้เลย
แต่ชายหนุ่มก็ยืนยันขันแข็ง
หลายวันหลายเวลาที่ชายหนุ่มผู้ตกอยู่ในห้วงรักนั้นยอมทิ้งงานทิ้งการจากบ้านเรือนของตน
มาเฝ้าอ้อนวอนขอความรักจากนาง ผ่านสัปดาห์ ล่วงเป็นเดือน และเป็นปี
สาวเจ้าก็ยังไม่ตกลงปลงใจ ด้วยนางใคร่ครวญแล้วเห็นว่า
ชายหนุ่มผู้นี้แท้จริงแล้วกำลังหลงใหลความงามของนาง
มากกว่าจะเห็นคุณค่าของการร่วมชีวิตคู่กับนาง
กระนั้นก็ตาม ชายหนุ่มก็ยังเฝ้าเพียรพร่ำรำพันรักของเขาที่มีต่อนาง
อยู่เช่นเดิมว่า “ฉันรักเธอมากที่สุด รักมากกว่าใครในโลกนี้”
วันหนึ่งหญิงงามจึงกล่าวแก่ชายหนุ่มว่า
“ไม่จริงหรอกที่เธอรักฉันมากกว่าใครในโลก เพราะว่าอย่างน้อยเธอก็คง รักแม่ของเธอมากกว่าฉัน”
นางหวังที่จะให้เขาฉุกคิดและเกอดสติปัญญา แต่แล้วชายหนุ่มกลับตอบว่า
“ฉันขอยืนยัน ไม่ว่าแม่ของฉันหรือใครก็ตามในโลกนี้ ไม่อาจทำให้ฉันรักเธอมากไปกว่าเธอหรอกที่รัก”
คำตอบของชายหนุ่มทำให้หญิงงามเกิดความรู้สึกลึกๆ บางอย่าง
นางจึงกล่าวแก่ชายหนุ่มต่อไปอีกว่า
“ถ้าเช่นนั้น ให้เธอไปเอาหัวใจของแม่เธอมาให้ฉันสิ ถ้าเอามาได้ฉันจะเชื่อคำพูดของเธอ”
ชายหนุ่มแสดงอากัปกิริยาลิงโลด กล่าวตอบนาวทันทีว่า
“ได้สิที่รัก ฉันจะไปเอาหัวใจของแม่มาให้เธอเดี๋ยวนี้”
ครั้นแล้วชายชายผู้นั้นก็รีบเดินทางกลับมายังบ้านของตน
เขาได้กระทำในสิ่งที่ใครไม่อาจคาดคิด! นั่นคือ
เขาไม่ฆ่าแม่ของเขา! แล้วผ่าอกควักเอาหัวใจของแม่ออกมา
กึ่งเดินกึ่งวิ่งนำหัวใจของแม่มุ่งตรงไปยังบ้านของหญิงงามผู้เป็นที่รักสุดหัวใจ
ด้วยอารามรีบร้อน ทำให้เขาสะดุดรากไม้ล้มลง ก้อนเนื้อหัวใจของแม่กระเด็น
ไปคลุกฝุ่นอยู่ไม่ห่าง ขณะชายหนุ่มยันกายลุกขึ้น ทันใดนั้น!
หัวใจของแม่ก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า
“ไม่ต้องรีบร้อนนักหรอกทูนหัวของแม่ ดูซิ หกล้มจนแข้งขาถลอกปอกเปิกไปหมดแล้ว เจ็บไหมลูก”
แทนที่ชายหนุ่มจะได้สำนึกที่ได้ยินคำพูดจากหัวใจของแม่ เขากลับรีบกอบหัวใจของแม่เร่งร้อน
เดินทางไปยังบ้านหญิงที่เขารักต่อไป
เมื่อมาถึง ชายหนุ่มรีบแบก้อนเนื้อหัวใจของแม่ในฝ่ามือให้นางผู้แสนงามดู
พลางพูดด้วยน้ำเสียงปีติยินดีว่า
“ที่รัก นี่ไง หัวใจของแม่ฉัน ฉันนำมาให้เธอ เพื่อพิสูจน์คำพูดของฉันว่า รักเธอกว่าใครในโลกนี้!”
หญิงสาวแทบไม่เชื่อสายตา นางจ้องมองชายหนุ่มซึ่งอยู่เบื้องหน้าด้วยความรู้สึกยากจะประมาณ
พลางนางก็พรั่งพรูถ้อยคำอันขมขื่นที่สุดในชีวิต
“อนิจจา! ชายบาปหยาบช้าที่ฉันให้ไปเอาหัวใจของแม่เธอมาให้ฉัน ฉันหมายว่าให้เธอ
ทำให้แม่ของเธอรักฉัน ให้หัวใจท่านยอมรับฉันและรักฉันเหมือนลูกด้วยคนหนึ่งต่างหาก
แต่ไยเธอโง่เง่าถึงกับไปฆ่าแม่ควักเอาหัวใจมาเช่นนี้
โธ่เอ๋ย! นอกจากโง่เขลาเบาปัญญาแล้ว เธอยังเป็นคนใจโฉดหยาบช้าสาหัสเหลือเกิน
ฆ่าได้แม้กระทั่งแม่ของตนเอง ฉันรักเธอไม่ได้หรอก ถ้าแต่งงานกับเธอ
วันหนึ่งความมืดเขลาเบาปัญญาและจิตบาปหยาบช้าของเธอก็อาจจะฆ่าฉันได้
จงกลับไปเสียเถิด....”
**********
ผมย้อนไปสมัยที่เรียนหลักสูตรหมออนามัย (เจ้าพนักงานสาธารณสุขชุมชน)
หลักสูตร 2 ปี...ได้วุฒิอนุปริญญา...ผมมีเพื่อนร่วมรุ่น 105 คน...อายุตอนนั้นจบมอหกใหม่
อายุ 18 ปี จบ 20 ปี มาทำงานเลย...มีความรู้สึกว่า...ผมยังเด็กมาก
ครูเป็นห่วงพวกเรามาก เพราะจบไปทำงานในหมู่บ้าน...บางคนอาจได้ทำงานที่อนามัยคนเดียว
หลักสูตร 2 ปี จึงเหมือนยัดของเราเหมือนปลากระป๋อง...เรียนหมดเลย
ทั้งงานส่งเสริม-รักษา-ป้องกัน-ฟื้นฟูสุขภาพ...ต้องทำคลอดได้...ซึ่งผมได้ทำคลอดในหมู่บ้าน
จำได้แม่น 8 คน...เล่นเอาหัวใจหยุดเต้น...เหงื่อออก..ตัวสั่น
ได้เรียนการสร้างส้วม...เรียนเต้นลีลาศ
แอบงง...ครูน่าจะสอนร้องและเต้นหมอลำดีกว่า..เพราะส่วนใหญ่พวกผมเป็นคนอีสาน
และครูสอนการเข้าสังคม...(ไม่ใช่ดื่มเหล้ากับหรือชวนชาวบ้านดื่ม...อันนี้ได้มาจากรุ่นพี่...เข้าชุมชนต้องดื่มเหล้า
ซึ่งช่วงแรกการทำงานผมจึงดื่มเหล้ามาก...และหมออนามัยในช่วงนั้น จะดื่มเหล้ากันมากในการเข้าชุมชน)
ครูบอกว่า สิ่งที่เราได้เรียนแบบนี้ จะทำให้เราทำงานอยู่ในชุมชนได้ถ้าไม่มีครู
เมื่อผมกลับไปอ่านสมุดเก่า...ยิ่งตอนนี้...ผมออกอนามัยโรงเรียน หรือประชุม อสม.ประจำเดือน
แล้วคิดถึงครูจัง...ทำไมครูสอนวิชา...”ทักษะความเป็นครู” ด้วย
ตอนนั้นก็แอบงงว่า...พวกเราจะเป็นหมออนามัยนะ...ทำไมให้เรียนครู
บางอ้อเลย...เพราะตอนเราไปพูดหน้านักเรียน อสม. อสม. และชาวบ้าน ที่มีจำนวนมาก
ผมก็เกิดอาการเหงื่ออกปางตาย สั่นมากครับ
และได้ยินเสียงกระซิบของครูว่า...การสอนหรือการคุยให้คนอื่นฟัง ต้องมีความหลากหลาย
เช่น เอานิทานมาประกอบการพูด...
แต่อย่าจบแบบ “นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า.....1......2.......3.........”
เพราะจะปิดโอกาสทางความคิด ยกตัวอย่างการสอนเด็กนักเรียนในงานอนามัยโรงเรียน
ควรให้เด็กมีส่วนร่วมคิดและแสดงความรู้สึกแบบปลายเปิด...อิสระ
เพื่อให้เรื่องราวแห่งความครุ่นคิดคำนึงเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ
ยังคงกระเพื่อมจิตสำนึกและจินตนาการ
ค่อยๆ ผลิเผยความงอกงามของความคิดของเด็กแต่ละคน
เหมือนนิทานเรื่อง “หัวใจ แม่” ของคุณศิวกานต์ ปทุมสูติ
ต้องให้เด็กช่วยกันคิดกันตอบ และไม่จำเป็นต้องหาข้อสรุปก็ได้ เช่น
*ชายหนุ่มในเรื่องนี้เป็นคนอย่างไร?
*หญิงงามในเรื่องนี้ตัดสินใจถูกต้องไหม เพราะอะไร?
*สงสารใครมากที่สุด เพราะอะไร?
*ถ้าสามารถช่วยแก้ไขเหตุการณ์ จะช่วยใคร อย่างไรบ้าง?
*ถ้าให้แต่งเรื่องตอนจบใหม่ จะแต่งให้เรื่องนี้จบอย่างไร?
ฯลฯ....
ถึงแม้ครูจะสอนผมมาหลายปี...ผมยังคิดว่าครูสอนพวกผมอย่างทันสมัย
และยังเหมาะกับการศึกษาไทย 2020 อยู่.....
ผมเสียดายเวลาที่ตอนเรียน...เพราะยังเป็นเด็ก...ไม่ตั้งใจเรียนเลย
เอาพร่ำสอนบอกเสมอว่า...เรียนอะไร...ต้องเป็นวงกลม...สุ-จิ-ปุ-ลิ....
แต่ผมชอบแถมครูตรง...เพิ่ม...นิ...เข้ามา คือ นิทรา....
ขอบพระคุณครูเสมอครับ...ที่ทำให้ผมกลายเป็นหมออนามัยอย่างนี้
“สิ่งที่ครูเป็น...ครูทำ...สำคัญกว่าสิ่งที่ครูสอน...”
มีหลายเรื่องที่ได้เคยเรียนมา (ตอนนั้นเห็นว่าไม่สำคัญ) แต่กลับมีความหมายอย่างมาก ในบางประสบการณ์ อย่างที่คุณพ่อน้องทิมดาบเล่ามา
แต่ก็มีหลายเรื่องเช่นกันที่.. จนถึงตอนนี้ (ไม่อยากบอกว่าหลายปีแค่ไหน) ก็ยังไม่ได้นำมาใช้งาน.. เอะสอนมาทำไม (นะ)
คุณธรรมนำทาง..ทำให้ดู..อยู่ให้เห็น..ล้วนเป็นบทเรียนชีวิตที่สืบทอดมายาวนานค่ะ
ชอบบทความของคุณหมออดิเรกครับ ประณีตมากๆ..สะท้อนอะไรหลายๆเรื่อง ในเรื่องการศึกษา..ในเรื่องความเป็นครู.. ได้คิดเลยครับ..บางทีเราต้องเปิดโอกาสให้คนอื่นได้คิด ได้ต่อยอดใหม่ การสร้างข้อสรุปนั้น เป้นหัวใจเลยครับ... เห็นฝึกจากนิทานง่ายๆ อย่างนี้..นี่คือฝึกคนทำวิจัยเชิงคุณภาพเลย..
ผมเองมาทำ AI ต้องอาศัยกระบวนการ ผมได้มากๆ จากการมีโอกาสไปอบรมนวัตกรรมการสอน จากอาจารย์คณะศึกษาศาสตร์..ครูครับ..ความเป้นครูนี่ต้องเรียน และต้องดูตามแบบอย่างครับ..
ไม่ว่าอชีพอะไร ผมมองว่า ต้องเสริมวิชาความเป็นครูไปด้วย จะเติมเต็มมากๆ เพราะเราต้องไปสอนคนอื่น..แม้กระทั่งลูกค้ายังต้องสอนเขาเลย..
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆครับ
คิดถึงนะครับ
สวัสดีค่ะ
ชอบที่สุดก็ตรงที่.... สุ-จิ-ปุ-ลิ....นิ ท ร า
อ่านแล้วอมยิ้มเลย ขอบคุณค่ะ
ใช้นิทานในการสอน ในการประชุม
ล่าสุดทางฝ่ายทันตสสจ พัทลุงชวนไปรับน้อง ก็เล่านิทานให้ฟัง สามพิการรวมเป็นหนึ่ง ในการทำงาน
ทิมดาบแน่ใจนะว่าเป็นน้องชลัญ หุ หุ หุ
แวะส่งต่อกำลังใจคะ
ประสบการณ์ชีวิตถือเป็นหลักสูตรชั้นดี
ได้ลองคิด ลองทำด้วยตัวเอง
ทำให้เกิดความแปลกใหม่ น่าสนใจมากขึ้น
แต่ก้าวย่างที่มั่นคงจะมีไม่ได้ หากรากฐานไม่แข็งแรง