การศึกษาไทยในอนาคต..?


...เพราะมีความฝันว่า...

ยามค่ำคืนแวบมาบันทึกตามมุมคิดของตนเองเกี่ยวกับการศึกษาของไทยที่ฝันไว้ว่ามหาวิทยาลัยในประเทศไทยควรมีสิ่งเหล่านี้

 

1 . เรื่องการบริหารจัดการตั้งแต่ระดับสภามหาวิทยาลัยต้องได้ผู้บริหารจัดการที่มีความรู้คู่ศีลธรรม  มีวิถีชีวิตที่ปฏิบัติให้ดูเป็นอยู่ให้เห็น  มีความโปร่งใสในทุกกรณี  ต่อมาถึงระดับผู้นำองค์กรคืออธิการบดี  ต้องทำหน้าที่เพื่อหน้าที่มีความโปร่งใส  มุ่งผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก  ไม่ถือพวกใครพวกมัน  นำพามหาวิทยาลัยไปสู่เป้าหมายตามปณิธานที่ตั้งเอาไว้

 

เพราะมีความฝันว่า...ไม่อยากเห็นปลาใหญ่กินปลาเล็ก  ไม่อยากเห็นการฟ้องร้องขึ้นโรงขึ้นศาลของผู้บริหารในสายการศึกษา  ไม่อยากเห็นการอยุติธรรมเกิดมีขึ้นในหมู่ผู้ที่เรียกตนว่าเป็นบัณฑิตชน

 

2 . เรื่องสาขาวิชาที่เปิดการเรียนการสอน  ต้องมีวิชาพื้นฐานชีวิตเป็นวิชาพื้นฐานทั่วไปคือวิชาที่สอนคนให้เป็นมนุษย์เห็นคุณค่าของความเป็นมนุษย์ เป็นวิชาที่นำเอาหลักธรรมทุกศาสนาที่สอนให้คนเป็นมนุษย์ที่ดี  ที่งาม  ทางด้านจิตใจและสุขภาพร่างกายแข็งแรงและ 4 วิชาที่ควรเปิดเรียนคือ วิชาทางปรัชญาและศาสนา , วิชาทางเทคโนโลยี , วิชาทางภาษาสื่อสาร  และวิชาทางเลี้ยงชีพชอบ

 

เพราะมีความฝันว่า...วิชาเหล่านี้จะเป็นพื้นฐานการดำเนินชีวิตที่แท้จริงไม่ใช่เรียนจนท่วมหัวเอาตัวไม่รอดไม่รู้จักบาป  บุญคุณโทษ  ไม่รู้จักความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณ

 

3 . เรื่องสถานที่เรียนรู้ฝันเห็นห้องเรียนธรรมชาติเพียงผู้สอนผู้เรียนมีเครื่องมือสื่อสารต่อกันได้เป็นการเรียนรู้ทางอินเทอร์เน็ต  มีการนัดมาประชุมสัมมนากันตามวาระ  ไม่ใช่มาเรียนหามรุ่งหามค่ำ  ผมว่าเรียนที่บ้านนั้นละหรือที่ไหนเหมาะกับผู้เรียนยกให้เป็นอิสรเสรีเลย

 

เพราะมีความฝันว่า...การศึกษาไม่ควรแยกคนในครอบครัวไปกันคนละทิศคนละทาง  เด็ก ๆ เรียนหนังสือตั้งแต่จำความได้  ห่างพ่อแม่  ออกจากบ้านไปไกล  ทิ้งให้พ่อแม่เฒ่าอยู่บ้านแถมยังหาเงินส่งให้ลูกเรียนอีก  พอลูกเรียนจบแล้ว  พ่อแม่หวังพึ่งพา  ส่วนมากก็หนีเตลิดไปไหนต่อไหน  ท้ายสุดสองเฒ่าดูแลกันเองจนความตายมาพรากจากกัน  หนึ่งในนั้นเป็นเพราะการศึกษาใช่หรือไม่ที่แยกครอบครัวออกจากกันและปัญหาต่าง ๆ ก็ตามมาเป็นพรวน

 

4 . เรื่องอุปกรณ์การเรียนไม่ต้องมีเหมือนทุกวันนี้ คือ หนังสือเล่มโต ๆ ไม่ต้องพกพามาเรียน  เพราะใช้หนังสือทาง net เลยสำหรับการเรียนรู้เรื่องทางโลกและเรียนรู้ทางธรรมก็เรื่องศีล  สมาธิ  ปัญญา  โดยเข้าหาครูอาจารย์ มีการสอบอารมณ์เหมือนการเรียนวิปัสสนากรรมฐานอย่างนั้นละ  การเรียนอย่างนั้นไม่ต้องอาศัยไฟฟ้า  ห้องเรียน  เพียงแต่ร่างกายพร้อม  จิตใจพร้อมก็เรียนได้ ไม่จำกัดกาลเป็นการแสวงหาเพื่อให้ได้มาซึ่งอริยทรัพย์นั้นแล.

 

เพราะมีความฝันว่า...การเรียนทางโลกเพื่อทำมาหากินได้  การเรียนทางธรรมเพื่อพบความสุขใจในตนเอง อันเป็นยอดปรารถนาของท่านสาธุชนทั้งมวล.

 

 

หมายเลขบันทึก: 493352เขียนเมื่อ 3 กรกฎาคม 2012 23:14 น. ()แก้ไขเมื่อ 8 กรกฎาคม 2012 08:51 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (9)

มาร่วมฝันถึงมหาวิทยาลัยดีๆเช่นนี่้ด้วยค่ะ..มหาวิทยาลัยรับใช้สังคม บ่มเพาะเยาวชนคนดี เป็นศรีแก่ชาติ..

สวัสดีครับ นาง นงนาท สนธิสุวรรณ

ฝันอยากมีมหาวิทยาลัยที่เรียนแล้ว ทำให้ลด ละ เลิก การทำชั่ว สร้างชีวิตตัวตนแต่พอเพียง มีความสุขในการดำเนินชีวิตนะครับผม

ขอบคุณครับ

"เรื่องการบริหารจัดการตั้งแต่ระดับสภามหาวิทยาลัยต้องได้ผู้บริหารจัดการที่มีความรู้คู่ศีลธรรม มีวิถีชีวิตที่ปฏิบัติให้ดูเป็นอยู่ให้เห็น มีความโปร่งใสในทุกกรณี ต่อมาถึงระดับผู้นำองค์กรคืออธิการบดี ต้องทำหน้าที่เพื่อหน้าที่มีความโปร่งใส มุ่งผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก ไม่ถือพวกใครพวกมัน นำพามหาวิทยาลัยไปสู่เป้าหมายตามปณิธานที่ตั้งเอาไว้"

    ถ้าฝันข้อนี้เป็นจริง บุคลากร ในสถานศึกษานั้น ๆ จะมีความสุข จะมีกำลังใจในการทำงาน และทำอย่างทุ่มเท เพราะมีขวัญ กำลังใจ..ผมว่าข้อนี้สำคัญที่สุด ข้ออื่น ๆ...จะตามมา ขอบคุณครับ

สวัสดีครับ คุณ แว่นธรรมทอง

รับทราบครับผม

การฝันของคนนอกไม่อยากเห็นการเล่นการเมืองในมหาวิทาลัย เช่นเมื่อได้นายกสภาท่านนี้แล้วก็รู้กันทั่วว่า อธิการบดีที่จะมาก็มีตัวตนแล้ว และเราจะสรรหา จะมีวิธีการแบบมายาภาพไปทำไม เพราะจะมีการลากตั้งกันอยู่แล้วหรือมิใช่...

ขอบคุณครับ

ขอบคุณบทความกระตุ้นให้คนเห็นความสำคัญของบ้าน ครอบครัวค่ะ "การศึกษาไม่ควรแยกคนในครอบครัวไปกันคนละทิศคนละทาง เด็ก ๆ เรียนหนังสือตั้งแต่จำความได้ ห่างพ่อแม่ ออกจากบ้านไปไกล" มีผู้ทำนายว่า ในปี 2020 รอยต่อของบ้าน กับโรงเรียน ควรจะน้อยลง ด้วยเทคโนโลยีสื่อสาร นั่นคือ เด็กสามารถเรียนเนื้อหาส่วนใหญ่ ได้เองที่บ้าน การมาโรงเรียน เพื่อทำกิจกรรมกลุ่มโดยมีคุณครูเป็น facilitator

ขอบคุณ สำหรับบทความดีดีนี้ค่ะ

สวัสดีครับ คุณ ป.

การที่ครอบครัวพ่อแม่ลูกอยู่อาศัยด้วยกัน เป็นความผูกพันสนิทแนบแน่นในสถาบันครอบครัว

การเรียนในยุคหน้าไม่ควรแยกพ่อแม่ลูกไปคนละทิศละทาง เรียนอยู่ที่บ้านเพียงแต่จัดประชุมกลุ่มย่อย ผมว่าดีทีเดียวครับ และ

ครูอาจารย์อยู่ที่ไหนก็สอนได้เพราะสื่อสารทาง netมี ไม่จำเป็นต้องไปนั่งโต๊ะหน้าชั้นเรียนทุกบ่อย อ่านลายชื่อตรวจสอบผู้เข้าเรียนทุกคาบ ดูเหมือน ( ยมพบาล ) ตรวจบัญชีรายชื่ออย่างนั้นหรือไม่...

ไม่ต้องมีงบ ฯ ภาษี มาสร้างอาคารเรียน เพื่อ หักค่านายหน้า หัวคิวกินกันอยู่จริงหรือไม่..

ขอบคุณครับ

สวัสดีครับ Dr . Somsri

ฝันของเราถ้าเป็นจริงได้จะดีไม่น้อยนะครับผม อิ อิ อิ

ขอบคุณครับ

อนาคตก้าวไกล.. ต้องเดินไปทั้งสองทาง (โลก+ธรรม) พร้อมๆกัน

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท