พบตัวเองจากภาพลูกศิษย์ความสดใสในวัยเขากับวัยเรา ความมีชีวิตชีวาบอกถึงความหวัง ซึ่งเราเหลืออยู่กี่มากน้อย?เดือนปีที่ผ่านทำให้ยินดียินร้ายลดลงไม่ว่าสุขหรือทุกข์เมินเฉยได้มากขึ้นหลายครั้งพอมองออกอะไรกำลังจะเกิด บางครั้งจึงดูเฉื่อยชา..
ประสบการณ์ทำให้ขาดความกล้า นับวันยิ่งแวดระวังเมื่อความผิดพลาดจากความวู่วามเคยเกิดขึ้นแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ทำอะไรจึงเห็นแต่ปัญหาความสำเร็จมักจะเลือนราง ขนาดทั้งชีวิตพลาดโอกาสดีๆมาก็มากไม่เพราะความละเอียดรอบคอบดอกหรือ?
วันนี้ความร่าเริงและความกล้าตัวเองหายไปหายไปกับเวลาที่ล่วงเลย..
เวลาที่ไม่เคยปรานีใคร(ฮา)
(ภาพประกอบ : นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 ปีการศึกษา2555)
..อย่าเพิ่ง"แก่"..กับเวลา...."กล้า"..เพราะ.เวลา..ไม่ได้..ล่วง..โรย..อย่างที่คิด...(ผิด)...ที่เวลา..ไม่รอ.ปราณี..ใคร..๕๕๕๕...(ยายธี)
เด็ก ๆ น่ารักจังเลยค่ะ
ใครหนอฝีมือถ่ายภาพ ช่าง โอ เหลือเกินคร้า
อยู่กับเด็กๆ น่าจะทำให้อาจารย์ยิ้มได้ง่ายนะคะ เพราะเด็กๆๆ เขายิ้มง่าย หัวเราะง่าย น่าจะเป็นโรคติดต่อนะคะ :)))))
สุขสันต์วันศุกร์ค่ะ
อ.ธนิตย์ที่เคารพ
พี่เข้าใจทุกตัวอักษรของอาจารย์นะคะ เพราะพี่เองก็เคยรู้สึกแบบนั้น "บางเวลา" และพบว่ามันมีแต่ผลเสีย เพราะ
- ทำให้พี่หยุดอยู่กับที่ (ในงาน)
- จมกับความคิดตัวเองมากเกิน จนคิดนอกกรอบไม่ได้
ผลเสียทั้งสองข้อข้างบนมันทำให้พี่ "หมดพลัง" ที่จะคิดอะไรดีๆ คิดอะไรสนุกๆ
แต่พี่มีวิธีดึงเอา "ความร่าเริง และ ความกล้า" กลับมาด้วยการ
- หยุดเรื่องที่คิดหมกมุ่น ไปทำอย่างอื่น เช่น ไปดูหนัง(โรง) แทนดู DVD หยิบหนังสือเก่าๆ ในตู้มาอ่าน ออกไปนั่ง "กินหรู" กัน 2 ตายาย ฯลฯ
- ถ้า "ตัน" เรื่องงาน พี่จะพับงานเก็บไว้สักพักใหญ่ๆ หยิบมาอ่านใหม่ ก็เห็นทางใหม่ทุกครั้งไป (ถ้ามีโอกาสพี่จะเล่าเรื่องที่พี่รายงานหน้าชั้นเรื่องหนึ่งในชั้นเรียนคณะครุศาตร์ จุฬา)
- มองหาเรื่องที่จะช่วยคนที่ต้องการความช่วยเหลือจากเรา อย่างพี่นี่พอได้ไปช่วยทำงานตรวจคนไข้โรคเรื้อรัง ที่เขามีปัญหาสารพัดรุมเร้า คุยกับเขา ช่วยเขาคิดหาทางออก พอได้เห็นแววตาสดใสของคนไข้ ของญาติ มันก็กลับมาเติมพลังที่เหือดหายของพี่กลับมาอีกครั้ง
- อ่านหนังสือของอ.ประเวศ วะสี หนังสือของอาจารย์เกือบทุกเล่ม เป็นหนังสือที่ปลุกพลังคิดบวก คิดดี ให้คนอ่าน ตั้งแต่สมัยพี่สาวๆ เวลาที่ถึงทางตัน หรือเศร้าหมอง จะหยิบหนังสือของ อ.ประเวศมาอ่านค่ะ
พี่ขอเล่าเรื่องตัวเองนิดนะคะ
เมื่อ 3 เดือน เป็นช่วงที่พี่ "หมดพลัง" น้องสาวเอาตั๋วละคร "สี่แผ่นดิน เดอะมิวสิคัล" มาให้ 2 ใบ เรา 2 ตายายก็ไปนั่งดู โอ้โฮ...กลับมานี่ควานหาหนังสือสี่แผ่นดินในตู้..ไม่พบ สั่งซื้อใหม่ยกชุด แถมสั่งซื้อแจกหลานๆ อ่านรวดเดียวจบอย่างมีความสุข พอจบแล้วยังไม่อิ่ม ไปรื้อเอาหนังสือที่เกี่ยวเนื่องกับสี่แผ่นดินมาอ่านอีก 2 เล่ม "พลัง" ก็กลับมา
พี่กำลังได้ข้อสรุปว่า ความคิดความอ่านของคนเราพัฒนาไปตามวัยจริงๆ พอย้อนกลับไปทบทวนพบว่า เวลาเปลี่ยนไป ความคิด วิธีคิดเราเปลี่ยนไปจริงๆ แต่แก่นแกนความเป็น "ตัวตน" ของเรายังอยู่
พี่เชื่อว่าการได้ทำงานกับคนอายุน้อยๆ นี่จะช่วยกระชากวัยเราลงมาได้แน่นอน
พี่ละอิจฉา อ.ธนิตย์ นิดๆ ค่ะ ตรงที่ได้อยู่ใกล้ชิดน้องๆ ลูกๆ วัยใสเจี๊ยบ จะได้เก็บเอาวิธีคิดที่ใสซื่อมาปรับสมดุลวิธีคิดที่ยืดยาดอืดอาจติดกรอบของคนใกล้แก่ได้บ้าง
บันทึกสั้นๆ ของอาจารย์ทำให้พี่ได้ทบทวนตัวเอง มองเห็นจุดอ่อนของตัวเองเยอะ
ส่งความรักและปรารถนาดีมาพร้อมบันทึกนี้นะคะ
สิ่งที่รับรู้ได้จากบันทึกนี้และความเห็นของพี่ nui คือความอบอุ่นค่ะ
เห็นรูปความร่าเริง ของลูกศิษย์ ที่อาจารย์นำมาประกอบกับเรื่องที่ดูเศร้านิดๆ แล้วตัวตนที่เด่นชัดของอาจารย์ ก็ยังคงความเป็น "ครูเพื่อศิษย์" อยู่นั่นเอง
... เมื่อความผิดพลาดจากความวู่วาม เคยเกิดขึ้นแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ทำอะไรจึงเห็นแต่ปัญหา
และคุณครูสามารถแก้ปัญหา ที่ว่านับครั้งไม่ถ้วนได้ อะไรทำให้คุณครูผ่านอุปสรรคเหล่านั้นมาได้ค่ะ
ชอบความเห็น อ.ขจิต •ความกล้าเกิดได้เสมอ •ทำอะไรก็ได้่ที่เรามีความสุข นักเรียนได้พัฒนาเต็มตามศักยภาพ •บางครั้งสิ่งที่เราทำถึงจะเล็กน้อย •แต่มันสามารถใหญ่ได้ในใจเราเสมอ ชีวิตที่เราออกแบบเอง ถ้ามีความสุขเพียงพอ ก็อย่าไปสนใจคนอื่นที่คิดแทนเรา...พี่เคยรู้สึกภูมิใจและเป็นฮีโร่ที่บางคนมองพี่ว่าต้อยต่ำ น่าเวทนา ...นาทีนั้นพี่แอบเห็นเขามีความสุขเป็นล้นพ้นที่รู้สึกดีกว่าเรามากมาย ไม่ว่าสุขหรือทุกข์เราเมินเฉยได้มากขึ้นจริงๆ เมื่อเวลาผ่านไป ....
เป็นกำลังใจให้ครูนะครับ