แสงอาทิตย์ยามเย็นวันที่ 25 พค. 55 ด้านหลัง สพม.39
ประมาณช่วงปลายเดือนมีนาคม 2555 หลังจากที่ไปส่งแม่บ้านพบแพทย์ที่ รพ.ม นเรศวร เพื่อรักษาอาการชา ปวด บริเวณข้อมือ ได้รับการยุยงจากแม่บ้านว่า ไหน ๆ มา รพ.แล้ว และที่นี่มีคลินิครักษาโรคนอนกรน ลองไปติดต่อเพื่อทำการรักษาอาการนอนกรนซิ
หลังจากนั้น ผมได้รับบัตรคิวนัดหมายให้เข้าปรึกษาอาการกับแพทย์เฉพาะทาง เมื่อหมอสอบถามอาการอย่างรอบด้านแล้ว ให้ผมไปทดสอบการนอนกรนด้วยเครื่องมือ ซึ่งกว่าจะได้คิวก็เป็นวันที่ 30 พฤษภาคม 2555 ( 2 เดือนถัดมา) เพราะคนไข้รักษานอนกรนมีจำนวนมาก
ผมจำเป็นต้องขอนอนที่ รพ. เพราะมีสภาพแวดล้อมในการนอนที่เหมาะสมกว่าที่บ้าน หลังจากติดต่อเจ้าหน้าที่และได้เข้านอนที่ห้องพิเศษชั้นที่ 7 ห้อง 702 ยอมรับ ณ ที่ตรงนี้ว่า ผมมีความรู้สึกว่า ต้องขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุก ๆ องค์ ให้เป็นกำลังใจช่วยปกป้องคุ้มครองให้ผมอยู่อาศัยในห้องนี้ชั่วคราวอย่างสงบเพื่อใช้เครื่องมือทดสอบการนอนกรน
ห้องนอนพิเศษ ชั้นที่ 7 รพ.ม นเรศวร
ลักษณะภายในห้องนอนพิเศษ 702
บริเวณระเบียงห้อง
ศาลาพระกลางบึง ม นเรศวร
สวนหย่อมบน รพ. ม นเรศวร
ลักษณะของเจ้าเครื่องมือนี้เป็นดังภาพแนบท้าย ที่อุปกรณ์ประมวลผลจะถูกรัดไว้บริเวณหน้าอก อีกส่วนอยู่ที่กลางท้อง และมีอุปกรณ์ติดที่กลางหน้าผาก รูจมูก และบริเวณปาก รวมถึงปลายนิ้วกลาง (ไม่ได้บันทึกภาพขณะติดเครื่องมือที่ร่างกาย เพราะไม่น่าดู) ผมนอนหลับสนิทจริง ๆ ครับ ตั้งแต่ช่วง 3 ทุ่มถึงตี 2.30 น (5 ชั่วโมงครึ่ง) เมื่อตื่นแล้ว จัดการธุระส่วนตัวเสร็จ ผมนั่งดื่มน้ำ ดูโทรทัศน์ เพื่อรอให้ถึงเวลาประมาณ 5.00 น จึงขอกลับบ้านเพื่อเตรียมตัวเข้าทำงานต่อไป อีกไม่นานคงจะมีผลการตรวจสอบครั้งนี้ออกมาว่า ผมจะต้องได้รับการรักษาอาการนอนกรนอย่างไร
เมื่อวานนี้ (13 มิถุนายน 2555) ผมไปฟังผลการวิเคราะห์การนอนกรนแล้ว ค่าเฉลี่ยที่ออกมา ประมาณ 18 (ไม่ทราบชื่อหน่วยวัด) หมอเจ้าของไข้แนะนำให้ผมปรับพฤติกรรมการนอน เป็นนอนตะแคง แทนการนอนหงาย และเพิ่มการออกกำลังกายให้มากขึ้น โดยให้ระยะเวลาการปรับพฤติกรรมนี้ ประมาณ 2 เดือน ผมจึงประสานกับเจ้าหน้าที่ขอคิวตรวจสอบการนอนกรนอีกครั้งในช่วงที่หมอนัด ครับ
และการไปฟังผลครั้งนี้ ผมเห็นไวนิลประชาสัมพันธ์เรื่องการรักษาการนอนกรน ที่แจ้งที่อยู่เวบไซด์ของเจ้าเครื่องมือทดสอบที่ผมใช้ จึงตามเข้าไปดูครับ http://www.soofunmedical.com/ มีข้อมูลสำคัญหลายเรื่องที่ผู้นอนกรนน่าจะเข้าไปศึกษา
ผมคงนอนกรนมากกว่าแยะ เพราะตื่นมาเจ็บคอบ่อยๆ เป็นภูมิแพ้ทางเดินหายใจครับ หายใจไม่ค่อยออก ก็แบบนี้ เพื่อนผมก็ไปตรวจมา เป็นขนาดมีหยุดหายใจขณะนอนด้วย หมอให้ผ่าตัดเลย
ตั้งแต่สิงหาคม 2555 ที่ผ่านมา ผมตัดสินใจใช้เครื่องอัดอากาศเพื่อช่วยบรรเทาอาการหยุดหายใจขณะนอนหลับ ให้ลดน้อยลง ทุก ๆ คืนที่นอนจึงต้องแปลงกายเป็นมนุษย์กบกลาย ๆ (เพราะมีเครื่องมือครอบจมูก โดยมีสายรัดบริเวณหน้าผากและรอบศีรษะส่วนท้ายทอยกันหลุด ต่อสายอากาศไปเข้ากับเครื่องอัดอากาศ)
ที่ผมบอกว่าตัดสินใจใช้เครื่องอัดอากาศ ตรงนี้เป็นเพราะหมอเป็นผู้แนะนำหลังจากผมยืมเครื่องมือนี้ไปใช้งาน แล้วค่าของการหยุดหายใจต่อชั่วโมงลดลงเหลือประมาณ 4 ครั้ง
หลังการใช้งานประมาณ 3 เดือนให้หลัง จนท.ที่ดูแลเครื่่องมือโทรประสานให้นำผลจากข้อมูลหน่วยความจำ (เครื่่องมือนี้มี 3 ชนิด ธรรมดา กึ่งอัีตโนมัติ และอัตโนมัติ ราคาก็จะผันแปรไปตามชนิด หากจำไม่ผิดจะอยู่ที่ 22,000 , 42,000 และ 72,000 บาท สิทธิการเบิกสำหรับข้าราชการได้เพียง 20,000 บาท ทั้งนี้ชนิดธรรมดาไม่มีหน่วยความจำใด ๆ และผมเลือกใช้ตัวกลาง ครับ) ไปประมวลผลเพื่อเสนอให้คุณหมอตรวจสอบผลการใช้งาน
การไปตรวจสอบซ้ำครั้งนี้ ปรากฎว่าจะใช้ฐานข้อมูล 30 วันสุดท้าย ซึ่งเจ้ากรรม ผมนอนค่อนข้างดึกแต่ตื่นเช้ามาก ทำให้ชั่วโมงเฉลี่ยของการใช้เครื่องมือไม่ถึง 4 ชั่วโมง ค่าเฉลี่ยโดยรวมจึงไม่ค่อยดี แต่เฉพาะวันที่นอนมากกว่า 4 ชั่วโมง ผลการใช้งานค่อนข้างจะเป็นผลดี (หยุดหายใจน้อยลง) คุณหมอแนะนำว่า ต้องพยายามนอนให้มากขึ้นและใช้เครื่องอัดอากาศอย่างสม่ำเสมอ
แน่นอนครับ นอกจากใช้เครื่องมือนี้แล้ว การออกกำลังกายและดูแลเรื่องอาหาร เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องดำเนินการควบคู่ไปด้วย หากท่านใดมีอาการทำนองนี้ ต้องรีบนำตัวเองไปพบแพทย์ที่รักษาเรื่องนี้โดยตรงทันทีนะครับ หากสะสมอาการนาน ๆ เผลอ ๆ จะทำให้ตัวเองมีสุขภาพที่ย่ำแย่ลง เผลอ ๆ อาจนอนไม่ยอมตื่น
ขอบคุณ พี่ คณิณ ที่แบ่งปันประสบการณ์ ดีๆ คับ