การใช้เทคนิคการสอนแบบบูรณาการในชั้นเรียนโดยใช้สื่อตามสภาพจริง ในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร ของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต
สรุปผลการวิจัย
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยในเชิงสำรวจและการวิจัยเชิงปฏิบัติการ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากลวิธีการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารของนักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัย ราชภัฏภูเก็ต เพื่อพัฒนาเทคนิคการสอนแบบบูรณาการในชั้นเรียนโดยใช้สื่อตามสภาพจริง ใน การเรียนการสอนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร ของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต และเพื่อศึกษาผล การใช้เทคนิคการสอนแบบบูรณาการในชั้นเรียนโดยใช้สื่อตามสภาพจริง ในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร ของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต ประชากร คือ นักศึกษาชั้นปีที่ 1 ที่ลงทะเบียนเรียนวิชาภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารรหัสวิชา 9901101 กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาที่เรียนวิชาภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร รหัสวิชา 9901101 กับอาจารย์ธีรกานต์ โพธิ์แก้ว ทั้งหมด 6 ห้อง จำนวน 200 คน การวิจัยเชิงสำรวจเครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถามความคิดเห็น จำนวน 1 ชุด เป็นแบบประเมินค่า Likert Scale มี 5 ระดับ แบ่งเป็น 3 ตอน ตอนที่ 1 ข้อมูลส่วนตัวเกี่ยวกับเพศ อายุ จำนวนปีที่เคยเรียนภาษาอังกฤษ ระดับที่เริ่มเรียน ณ โรงเรียนเอกชนหรือรัฐบาล ตอนที่ 2 กลยุทธ์ในการเรียนภาษาอังกฤษ 6 กลุ่ม 56 ข้อ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปสถิติทางสังคมศาสตร์ การวิจัยเชิงปฏิบัติการใช้เทคนิคที่พัฒนาขึ้นโดยผู้สอนปรับปรุงจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ เน้นกิจกรรม “ลดความเครียด เพิ่มความสุข” ผู้สอนเรียกว่าเทคนิค “พภ 2 คนิ” หรือ (S3PS) ซึ่งใช้รูปแบบการฝึกกลวิธีการเรียนแบบ CALLA เพื่อเน้นความรับผิดชอบในการเรียนรู้ วิเคราะห์ข้อมูลแบบพรรณนาวิเคราะห์ ผลการศึกษาพบว่า
มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต ผลการวิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง พบว่ากลุ่มตัวอย่างเป็นเพศชายร้อยละ 50 และเพศหญิงร้อยละ 50 ส่วนใหญ่ศึกษาอยู่ในสาขาการตลาด อายุอยู่ระหว่าง 18-19 ปี ก่อนเข้าเรียนนักศึกษามีเกรดเฉลี่ย 2.50 – 2.99 และมีความสนใจในวิชาภาษาอังกฤษอยู่ในระดับปานกลาง
ผลการวิเคราะห์ข้อมูลการใช้กลวิธีการเรียนภาษาอังกฤษของกลุ่มตัวอย่าง ก่อนเรียนวิชาภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร กลุ่มตัวอย่างใช้กลวิธีการเรียนภาษาอังกฤษในภาพรวมเป็นบางครั้ง( = 2.59 คิดเป็นร้อยละ 51.74) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่ามีการใช้กลวิธีในการเรียนภาษาอังกฤษเป็นบางครั้ง 3 ด้านเรียงลำดับจากค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย คือ ด้านกลวิธีในการควบคุมอารมณ์ ( = 3.19 คิดเป็นร้อยละ63.87) ด้านกลวิธีในการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ( = 2.99 คิดเป็นร้อยละ 59.82) ด้านกลวิธีเรียนรู้ด้วยจินตนาการ ( = 2.84 คิดเป็นร้อยละ 56.85) ตามลำดับ
หลังเรียนวิชาภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร กลุ่มตัวอย่างใช้กลวิธีการเรียน
ภาษาอังกฤษในภาพรวมเป็นบางครั้ง( = 2.99 คิดเป็นร้อยละ 59.84) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่ามีการใช้กลวิธีในการเรียนภาษาอังกฤษเป็นบางครั้งทุกด้านด้านเรียงลำดับจากค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย คือ ด้านกลวิธีในการควบคุมอารมณ์ ( = 3.32 คิดเป็นร้อยละ66.33) ด้านกลวิธีในการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ( = 3.28 คิดเป็นร้อยละ 65.50) ด้านกลวิธีเรียนรู้ด้วยจินตนาการ ( = 3.19 คิดเป็นร้อยละ 63.75)และกลวิธีเรียนรู้ด้วยตนเอง( = 2.80 คิดเป็นร้อยละ 56.00)
สอนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร ของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต เป็นเทคนิคการสอนที่เรียกว่า “พภ 2 คนิ” (S3PS) เทคนิคการเรียนแบบนี้ ได้มีการทดลองใช้มาก่อนสองทอม คือ เทอม 1/2553 และ 2/2553 จนได้กิจกรรมที่สมบูรณ์ทั้งหมด 5 กิจกรรม ประกอบด้วย การประสานเสียงร้องเพลง บรรเลงวาดภาพจิตแจ่มใส สนใจสิ่งของเครื่องใช้ในชีวิต พูดคุยสักนิดกับสื่อบุคคล และสนทนาภาษานิทาน โดยทั้ง 5 กิจกรรมต้องผ่านกระบวนการ “สจ. 3 ป. ขยาย 2 ค.” จัดงานแสดง แจ้งก่อนล่วงหน้า ปรึกษาหารือ ลงมือปฏิบัติ เคร่งครัดประเมินผล ขยายคน และขยายความ เน้นการทบทวนบทเรียนด้วยตนเอง
เรียนการสอนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร ของมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต สรุปว่า 1. กิจกรรมการประสานเสียงร้องเพลง ได้ฝึกสมาธิ คลายเครียด ฝึกความพร้อมเพรียง ฝึกฟังสำเนียงภาษาอังกฤษ ได้เลียนแบบสำเนียงภาษาผ่านสื่อบทเพลง ได้จดจำคำศัพท์ และได้รู้ความหมายของเพลง 2. กิจกรรมบรรเลงวาดภาพจิตแจ่มใสทำให้ได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ ฝึกการออกแบบบ้าน การแบ่งสัดส่วนห้องต่างๆ ให้เหมาะสม ฝึกการวาดภาพระบายสี ฝึกการทำงานเป็นทีม ฝีกทักษะการอ่านคำศัพท์ และการออกเสียงที่ถูกต้อง 3.กิจกรรมสนใจสิ่งของเครื่องใช้ในชีวิต ทำให้ได้ฝึกการเป็นคนช่างสังเกต รู้จักเรียนรู้ภาษาจากสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว ทำให้ได้รู้จักผลิตภัณฑ์ รู้ประโยชน์ วิธีการใช้ และข้อควรระวัง จากผลิตภัณฑ์นั้นๆ ทำให้ได้ความรู้ใหม่เกี่ยวกับคำศัพท์ที่ไม่ค่อยคุ้นเคยในการเรียน 4.กิจกรรมพูดคุยสักนิดกับสื่อบุคคล การสนทนากับชาวต่างประเทศทำให้ ฝึกความกล้าหาญ กล้าพูด กล้าแสดงออก ฝึกการใช้บทสนทนา และฝึกการมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีเพื่อใช้ในการสื่อสารที่ถูกต้อง และกิจกรรมสนทนาภาษานิทาน ฝึกการทำงานร่วมกัน สร้างความสามัคคีภายในกลุ่ม รู้จักแบ่งงานกันทำ ได้รับความสนุกสนาน พร้อมทั้งได้รับข้อคิดจากนิทาน ในภาพรวมสรุปว่าทุกกิจกรรมเป็นกิจกรรมที่สนุกสร้างความสุขให้กับผู้เรียนสอดคล้องกับแนวการสอน นอกจากนี้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ด้วยตนเอง และนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
การสนทนาผ่านนิทานวันละนิดวันละหน่อย เป็นกระบวนการที่ทรงพลัง มีชีวิตมากทีเดียว ได้เรียนรู้คติชนวิทยาไปในตัว ปลูกฝังความเป็นชาติพันธุ์แบบเนียนๆ
ชื่นชม ครับ