กระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผู้บริหาร ICT


“เครื่องมืออะไร ก็นำมาใช้พัฒนาคนไม่ได้ หากไม่เข้าถึงจิตถึงใจ และเปลี่ยนแปลงจากภายในตนเอง”
ผู้เขียนมักเจอคำถามที่ท้าทายอยู่เสมอ เมื่อใดก็ตามที่จัดอบรมกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ Human KM by Enneagram โดยเฉพาะคำถามของผู้ร่วมกระบวนการที่ผ่านการอบรมมาแล้วหลายหลักสูตรอย่างโชกโชน โดยแต่ละหลักสูตรนั้นเป็นหลักสูตรที่ "นำเข้า" แนวคิดมาจากต่างประเทศ หรือไม่ผู้เป็นวิทยากรให้การอบรมเป็น "กูรู" ชาวต่างชาติ หรือไม่ก็หลักสูตรนั้นจัดโดยสถาบันที่ได้รับการรับรองเป็นที่น่าเชื่อถือ ดังนั้น   เมื่อเข้ามาร่วมกระบวนการอบรมในหลักสูตรที่ผู้เขียนและท่านอาจารย์           ดร. ยุวนุช   ทินนะลักษณ์ เป็นทั้งวิทยากร/กระบวนกร  พวกเขา "จะได้อะไร" "แตกต่างอย่างไร" กับหลักสูตรเช่นว่านั้น และ "สร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นกับผู้เข้าร่วมกระบวนการได้หรือไม่"
 ดร. ยุวนุช ทินนะลักษณ์
ภิรัชญา วีระสุโข (ศิลา ภูชยา)
    การอบรมกระบวนการ Human KM by Enneagram for ICT Managers
                     จัดโดย NSTDA (สวทช.) ที่ธารามันตรารีสอร์ท ชะอำ
นั่นเพราะบางคนเข้าใจไปว่าเราจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้จากการได้รับสิ่งกระตุ้นจากภายนอก หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่าเชื่อว่า "เครื่องมือ" ใด ๆ จะมาเปลี่ยนแปลงตัวเราเองได้ ความคิดเช่นนี้ไม่ได้ผิดเสียทีเดียว แต่ก็ไม่ได้ถูกทั้งหมด จริงอยู่ว่าเราอาจจะ "ฉุกคิด" ได้จากเครื่องมือใหม่ ๆ  หรือเครื่องมือเหล่านั้นอาจจะมา "จุดประกาย" ให้เราเกิดการตระหนักรู้และอยากเปลี่ยนแปลง แต่ก็แค่เพียงแว่บเดียวที่เพิ่งผ่านการอบรมมาหมาด ๆ จากนั้น ก็ลืมเลือนเกลื่อนกลืนไปกับกาลเวลา เพราะเราไม่ได้ "เห็น" ตัวตนของเรามากพอที่จะยอมรับความจริงว่าจะต้องเปลี่ยนแปลงอะไร ผู้เขียนเป็นเพียงแค่กระจกบานหนึ่งในช่วงเวลาหนึ่งของกาลเวลาที่โชคชะตานำพาให้เราได้มีโอกาสโคจรมาพบกันเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ประการณ์ระหว่างกันเท่านั้น เมื่อมีส่วนทำให้หลายท่านเกิดการตระหนักรู้ในตนเองและเห็นความแตกต่างระหว่างตนเองและคนอื่นแล้ว ที่เหลือคือความเชื่อ ความเพียรที่ท่านจะ "เห็นจริง" ในสิ่งที่อยู่ภายในตนเองและพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนภายในให้เกิดความสงบร่มเย็นเป็นสุขได้หรือไม่ มาถึงตรงนี้จึงเป็นที่มาของการใช้คำในหลักสูตรที่แจกให้หน่วยงานต่าง ๆ ทุกครั้งที่ไปอบรมกระบวนการ ตามคำกล่าวที่ว่า 
 
“เครื่องมืออะไร ก็นำมาใช้พัฒนาคนไม่ได้ หากไม่เข้าถึงจิตถึงใจ และเปลี่ยนแปลงจากภายในตนเอง”

 

ดังนั้น หากจะถามว่าหลักสูตรนี้แตกต่างจากหลักสูตรอื่นอย่างไร ผู้ร่วมกระบวนการที่เก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปจะพึงรู้ได้ด้วยตนเอง ที่สำคัญที่สุดผู้เขียนเชื่อว่าทุกคนมีโอกาสและมีความสามารถที่จะเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ เกี่ยวกับโลกและจักรวาลได้หลากหลาย แต่อะไรที่เรียนรู้ทำให้เกิดปัญญา "เห็นจริง" เกิดความ "สว่าง"  "สงบ" "สะอาด" (บริสุทธิ์) สิ่งนั้นย่อม "ดี" ต่อตัวท่านอย่างแน่นอน หากรู้อะไรแล้วเพิ่มอัตตา รู้สึกว่าเหนือกว่าผู้อื่น รู้แล้วไม่ได้ละวางบางอย่างลงได้ ยังคงถือมั่นเอาไว้ ฟุ้งไป ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่ย้อนกลับมาดูตนเอง สิ่งนั้นจะเรียกว่า "ดี" ที่สร้างเสริมปัญญาให้ท่านได้อยางไร

 

การจัดอบรม Human KM by Enneagram มุ่งเน้นการจัดการความรู้ภายในของเรา ทำให้เราตระหนักรู้ความจริงบางอย่างเกี่ยวกับตนเองและเห็นความแตกต่างของเพื่อนมนุษย์ อันนำไปสู่การสร้างสมดุลย์ของชีวิต
          รุ่นนี้เป็นอีกรุ่นหนึ่งที่แม้มีความอาวุโสแต่ก็มีไฟในการเรียนรู้ไม่สิ้นสุด

 

รูปแบบกิจกรรมปรับเปลี่ยนไปขึ้นอยู่กับลักษณะและขนาดกลุ่ม โดยเฉพาะการตอบโจทย์วัตถุประสงค์ของการจัด ดังน้ัน ความลึกของเนื้อหา หรือความผิวเผินของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ อยู่ที่ผู้เข้าร่วมกระบวนการเป็นหลัก เพราะการจัดกระบวนการในลักษณะนี้เป็นการสร้างปฏิสัมพันธ์กันสองฝ่ายที่ต่างให้และรับ จึงเป็นการแบ่งปันปัญญาร่วมกัน ก่อเกิด "collective wisdom"

 

การสร้างบรรยากาศให้ผู้บริหาร ICT ได้มาร่วมกัน "สร้างงาน" ชิ้นเล็ก ๆ ทำให้เราต่างมองเห็น "ความเป็นเด็ก" ที่ไม่ต้องปรุงแต่งอะไรมากนัก
 
เราจะเรียนรู้ตัวเองได้ดีที่สุดเมื่อเรากลับมาอยู่กับ "ความสามัญ" ไม่ต้องมีชีวิตหรือใช้ชีวิตโลดแล่นไปตามบทบาทหน้าที่ หมวก หัวโขนที่เราสวมอยู่  ดังนั้น การเตรียมตัว เตรียมใจสำหรับผู้เข้าร่วมกระบวนการที่สำคัญที่สุดคือการถอดหมวกทุกใบที่สวมอยู่และเปลือยความรู้สึกนึกคิดออกมาเพื่อทำความเข้าใจตัวเองและมองผู้อื่นด้วยใจที่เป็นกลาง
ทุกวันนี้ ปัญหาเรื่อง "ความต่าง" เป็นเรื่องที่สร้างความบาดหมางร้าวลึกในใจของผู้คนในสังคม อย่างยากที่จะปฏิเสธได้ นั่นเป็นเพราะ เรามองไม่เห็นวิธีคิดหรือโลกทัศน์ของผู้ที่เราคิดว่าแตกต่างจากเราอย่างแท้จริง สิ่งที่เราเห็นเป็นแค่ความเชื่อที่ว่าเขาคิดไม่เหมือนเรา ก็ไม่ใช่พวกของเรา เขาประหลาด โดยปราศจากการไตร่ตรองให้เห็นจริงในความเป็นเราเป็นเขา

 

หากใช้เหตุผลมากเกินไป ในขณะที่บางเรื่องอธิบายด้วยเหตุผลไม่ได้
หากใช้ความรู้สึกมากเกินไป ในขณะที่บางเรื่องต้องใช้ความอุเบกขา
หากใช้สัญชาตญาณมากไป ในขณะที่เรื่องนั้นต้องอาศัยปัญญา
แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของเรา เราจะรู้สึกเสมือนว่าชีวิตเราถูกกำหนดอยู่ตลอดเวลา เพราะเราไม่ปล่อยให้ช่วงชีวิตใดช่วงชีวิตหนึ่งของเราที่จะมีเวลาระลึกรู้ภายในตนเองและยอมรับที่จะละ ลด เลิกในบางเรื่อง แล้วเติมสิ่งดี ๆ ที่ขาดหายไป

 

เสียงสะท้อนภายนอกก็ส่วนหนึ่ง แต่ไม่ลึกซึ้งเท่ากับการย้อนกลับมาทบทวนตนเองด้วยความใส่ใจและเข้าใจ

ผลงานของผู้คนสะท้อนโลกทัศน์ที่ออกมา คุณมองโลกอย่างไร ก็จะสื่อสารออกมาเช่นนั้น      สิ่งที่ทำให้เราค้นพบตัวเองได้ดีคือสังเกตสิ่งที่ปรากฎให้เห็นเชิงประจักษ์แล้วย้อนกลับเข้าไปสำรวจโลกภายในตนเอง
    
                   ยิ่งว่าง ยิ่งสงบ แต่อย่าหลงติดกับแม้กระทั่งความว่าง

 

         

เคยมีคนถามมุมมองคนดีของผู้เขียน ผู้เขียนเห็นว่า
                               "คนดี คือคนที่เห็นความชั่วของตัวเอง"

 

คำสำคัญ (Tags): #Human KM by Enneagram#nstda
หมายเลขบันทึก: 489074เขียนเมื่อ 25 พฤษภาคม 2012 09:53 น. ()แก้ไขเมื่อ 4 มิถุนายน 2012 17:56 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (13)

แวะมาทักทายคุณ sila

ด้วยความระลึกถึงนะครับ

 

ขอบคุณมากค่ะ ภาพนี้สร้างอารมณ์ศืลปินได้ดีทีเดียว หากชอบวาดภาพคงได้หยิบพู่กันออกมาระบายสีธรรมชาติที่งดงามได้เลย

แวะมาทักทายครับ

เกาะสมุยครับ

ดอนสักครับ

กระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้...

"เป็นสุดยอดของเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม"

...เอาหัวใจ...ส่งมาให้กำลังใจนะคะ

หากใช้เหตุผลมากเกินไป ในขณะที่บางเรื่องอธิบายด้วยเหตุผลไม่ได้
หากใช้ความรู้สึกมากเกินไป ในขณะที่บางเรื่องต้องใช้ความอุเบกขา

ช่างเป็นวลีที่น่าจดจำ

และนำไปใช้ต่อ  อิอิ

ขอบคุณนะคะ

"คนดี คือคนที่เห็นความชั่วของตัวเอง"

.. วาทะแห่งปรัชญาโดยแท้ครับ

ขอบคุณคุณทองหยอด Blank มากค่ะ ชอบทะเลค่ะ เพิ่งไปประจวบมาค่ะ รอจังหวะดี ๆ ว่าจะไปสมุยสักครั้งค่ะ 

ขอบคุณคุณ somsri Blank  ค่ะ ใช่เลยค่ะกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เป็นเครื่องมือสำคัญของการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมค่ะ องค์กรหลายแห่งยังไม่ค่อยใช้เครื่องมือนี้อย่างจริงจัง และยังเป็นการเรียนรู้แบบมีผู้ให้ความรู้เป็นศูนย์กลางอยู่ค่ะ

  • ขอบคุณพี่มนัญญา ~ natachoei ( หน้าตาเฉย)Blank ที่แวะมาเยี่ยมค่ะ  วลีที่ยกมา กลั่นจากประสบการณ์ตรงเลยนะคะ รู้สึกว่าบางเรื่องเราใช้เหตุผลมากเกินไปกับเรื่องที่ต้องใช้หัวใจ ทำให้ดูเหมือนเราไร้อารมณ์ได้เหมือนกันค่ะ และเอาไปเอามาก็จะมีเมตตาน้อยไปหน่อย หากเรารู้ก็จะแก้ไขตัวเราได้ค่ะ ก็คอยมองเห็นตัวเองบ่อย ๆ แล้วก็ปรับปรุงไปเรื่อย ๆ ค่ะ
  • ไม่ได้พบกันเสียนานเลยนะคะท่านอาจารย์แผ่นดิน Blank 
  • จริง ๆ คำที่ท่านอาจารย์ quote มาเป็นคำที่เพิ่งพูดให้รุ่นน้องคนหนึ่งฟังไม่นานมานี้ค่ะ และก็รู้สึกเช่นนั้นจริง ๆ
  • จากประสบการณ์ตัวเอง เห็นความดีที่ใคร ๆ ทำในรูปแบบต่าง ๆ และจาก enneagram ที่ศึกษา ก็ทราบที่มาของการทำดีของแต่ละลักษณ์อยู่บ้าง สุดท้าย ก็เห็นเองว่าแต่ละคนมีกิเลสที่เรามองไม่เห็นและไม่พยายามจะมองให้เห็น ถ้าเรารู้ ดูให้เห็น กิเลสที่เป็นความชั่วน้ัน จะถูกละวางลง
  • กิเลสนั้นแน่นอนว่ายังคงอยู่ แต่ก็เป็นแรงขับให้เราสร้างกุศลผลบุญได้เช่นกัน
  • อกุศลเป็นเหตุให้เกิดกุศลได้
  • หากเราสังเกตดี ๆ แต่ละคำคมของแต่ละคนล้วนมีปรัชญาชีวิตซ่อนอยู่เบื้องหลัง ดังคำกล่าวของท่านอาจารย์เองแหล่ะคะ  

"คนดี คือคนที่เห็นความชั่วของตัวเอง"

.. วาทะแห่งปรัชญาโดยแท้ครับ"

จึงขอขอบคุณมากค่ะที่เห็น

มองตัวเองผ่านกระจก
สะท้านสะทก..วิตกหวาดหวั่น
ยินเสียงพร่ำ รำพัน
เสียงนั้นก้องกังวานจากภายใน
บอกเล่าว่ามองตน..รู้ตน
ข้ามพ้น วิกฤตอันยิ่งใหญ่
บอกเล่าว่า มิตรภาพน้ำใจ
จากสรรพสิ่งคือความเป็นไป..ของ "สังคม...

ทั้งแนวคิดและการนำเสนองดงามมากค่ะ..

 

เรียนอาจารย์ ศิลา.... (“เครื่องมืออะไร ก็นำมาใช้พัฒนาคนไม่ได้ หากไม่เข้าถึงจิตถึงใจ และเปลี่ยนแปลงจากภายในตนเอง”)

พระเจ้าไม่เปลี่ยนชนหนึ่งชนใด จนกว่าเขาจะเปลี่ยนแปลงตนเอง(จากคมภีร์ อัลกรุอ่าน)

เปลี่ยนตนเองระเบิดจากข้างใน เปลี่ยนแปลงเรียนรู้อยู่ตลอด

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท