ได้เขียนบ่น ด่า เรื่องเงาะราคาถูกไปแล้วในตอนที่ ๑ ซึ่งไปโทษแม้วที่ทำ fta ไปโน่น (แต่บอกแล้วว่านั่นเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งเท่านั้น)
อีกปัจจัยสำคัญคือ รัฐบาลไม่มีมาตรการเพิ่มมูลค่าให้สินค้าเกษตรเท่าที่ควร แถมปล่อยให้บริษัทต่างชาติมาฉกชิ้นมันไปกินอีกด้วยซ้ำ เช่น ปล่อยให้บริษัท dole มาทำสับประรดกระป๋องทีเมืองเพชรหน้าตาเฉย และอีกหลายบริษัทที่เข้ามาทำธุรกิจการเกษตรในบ้านเรา “อย่างเสรี”
มาดูสินค้าเงาะ เรามีอะไรบ้างนอกจากเงาะสด เงาะกระป๋อง เงาะแห้ง
ทำไมรัฐไม่ส่งเสริมเอกชนให้ทำวิจัยเพื่อเพิ่มมูลค่า หรือรัฐทำวิจัยเองแล้วเอาผลไปเสนอให้เอกชนทำธุรกิจ หรือแม้แต่รัฐทำวิจัยเองแล้วทำวิสาหกิจนำร่องเอง แล้วโอนมอบกิจการให้เอกชนในภายหลัง (เช่น ปตท. )
ผลไม้ทุกชนิดสามารถเพิ่มมูลค่าได้มหาศาล เช่น เงาะ ทำไมไม่วิจัยบีบเอาน้ำออกมาเป็นน้ำเงาะพร้อมดื่ม (วิจัยหาธาตุอาหาร ข้อดีเอามาโฆษณาแหกตาฝรั่งด้วย) ส่วนกากที่เหลือจากการบีบมีเส้นไยมากเอาไปทำอาหารลดความอ้วน (กากอาจขายได้แพงกว่าน้ำเสียอีกเพราะฝรั่งมันอ้วนกันค่อนประเทศ) ...เปลือกเงาะเอามาวิเคราะห์ทำส่วนผสมเครื่องสำอางค์ ....เม็ดเอามาสกัดยาต่างๆ
ผมคิดอิสระมานานปีว่า เปลือกและเม็ดผลไม้ทุกชนิด มีตัวยาฆ่าเชื้อต่างๆ ที่เข้มข้นมาก เพราะเปลือกต้องป้องกันแมลง และ ป้องกันเชื้อโรคแทรกเข้ามา “กินลูก” ของมัน (พืชสัตว์ทุกชนิดรักลูก แม้แต่คนก็ยังรักเลย) มันก็ต้องมีสาร “ฆ่าเชื้อ” และ ป้องกันแมลง.....ส่วนเม็ดยิ่งไปกันใหญ่ เพราะต้องมีทั้งธาตุอาหารและยาฆ่าเชื้อโรคสารพัด สำหรับต้นงอก ไม่งั้นคงไม่มีวันงอกได้หรอก เพราะเชื้อห่าซาตานต่างๆร้อยแปดพันเก้ามันจะรุมกินกันหมดเสียก่อน
นิวซีแลนด์มีผลไม้ลูกเดียวคือ กีวี แต่เขามีผลิตภัณฑ์นับพันออกมาจากผลไม้ลูกเดียวนี้ อาหาร เครื่องสำอาง ยา สารสกัดต่างๆ ส่วนเรามีเป็นร้อยพันลูก แต่ทำได้แค่ สด กระป๋อง แห้ง วนเวียนอยู่แค่นี้แหละ
โทษใครดี? หรือว่าต้องโทษตัวเองที่ชาติก่อนคงทำกรรมไว้มาก ชาตินี้จึงได้เกิดมาเป็นคนไทย
...คนถางทาง (๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๕)
โห..calm down ..please... ท่านพี่ เขียนพรั่งพรูออกมาติดติดกันเลยนะค่ะ ได่อ่านต่อเนื่องกันสองบันทึกและก็จบด้วยการหัวเราะ ... ขออภัย.. อย่าหาว่าไม่เคารพกันนะค่ะ ก็ขำกับประโยคสุดท้ายนะซิ ที่เขียนว่า " โทษใครดี? หรือว่าต้องโทษตัวเองที่ชาติก่อนคงทำกรรมไว้มาก ชาตินี้จึงได้เกิดมาเป็นคนไทย"
นี่ขนาดที่บ้านปักษ์ใต้ มีสวนเงาะและทุเรียนนะค่ะ ก็ยังคิดว่า เจอปัญหาแบบเดิมซ้ำๆ เริ่มจากชาวสวนที่จันทบุรีก่อน เพระผลไม้ที่นั่นเริ่มก่อนปักษ์ใต้ ราคาก็คงๆเดิมมาตั้งแต่วัยละอ่อนจนปัจจุบัน คิดเหมือนกันว่างานวิจัยจะะช่วยวิจัยได้บ้าง
จริงๆเงาะเป็นผลไม้ที่เพื่อนๆคนต่างชาติเค้าก็ชอบทาน เคยเอาเงาะสดและมังคุดเข้าไปที่ UK แต่ผ่าน custom ก็ declare ว่ามีผลไม้ มังคุดและเงาะ เ้ค้าก็เปิดดู บอกว่าเอาไปฝากเพื่อน เอาไปสัก 20 ลูก เค้าก็ให้ผ่าน พอไปให้เพื่อนๆที่แล็บและอาจารย์ชิมก็จะบอกว่าชอบกันทุกคน แถมผลก็สวยงาม น่ารักด้วย แต่เค้าไม่เคยรู้จักกันมาก่อน..เราก็โปรโมทจัง แต่สังเกตเห็นว่าพืชผักเข้าไปตลาดยุโรปก็มีน้อยชนิด ที่เห็นก็จะมี ข้าวโพดอ่อน และพริกที่มาจากไทย ไม่ทราบติดขัดตรงไหน เพราะผลไม้ที่ขายอยู่ส่วนใหญ่มาจากประเทศในเครือจักรภพเค้าหล่ะค่ะ
calm down ไม่ไหวแล้วครับ ต้อง heat up ลูกเดียว อิิอิ
เงาะ (ฝรั่งออกเสียงเป็น knock ทุกที) เป็นผลไม้โปรดของผม ถูก อร่อย สะอาด (เปลือกหนา ยาพิษเข้าน้อย) ...นี่ยังเก็บไวโลนึ่งในตู้เย็นข้างห้องทำงาน เดี๋ยวว่าจะฟาดเป็นอาหารเย็นซะหน่อย
ท่าน kwancha ขโมยซีนตอนที่สามผมไปซะแล้ว กลังว่าจะเขียนอยู่ว่า รัฐมารไทยมันอ่อนแอ ไม่รู้จักไปททำการตลาดทั่วโลก ทั้งที่มีสินค้าดีอย่างเงาะ มังคุด มะม่วง และมะม่วงสันตีน อยู่ในมือ (Mangosteen)
กีวีเปรี้ยวๆ มันยังมาตีตลาดเราได้ แล้ว เงาะหวานๆ หนึบๆ แสนอร่อย กลับราคาแสนถูก ...ที่สวีเดนผมไปเห็นในร้าน กีวีเหี่ยวๆ ลูกละ 1 ยูโร (50 บาท) ...ดูมัน ....ขนาดลูกโผะเผะ (รู้จักไหม) มันขายกันขีดละ 5 ยูโร ...ลูกไม้ริมทางไทยเราที่หาดูได้ยากมากในวันนี้ แต่สมัยผมเด็กๆ เก็บกินเล่นเป็นประจำ ...ไอ้คนทำการตลาดพวกนี้ได้ มันเก่งจริงๆ น่าไปหาตัวมาทำการตลาดเงาะเราให้ได้
ทำให้ผมนึกถึงว่าเวลาไปประชุมวิชาการขององค์กรให้ทุนวิจัยใหญ่ๆ ของไทย จะไม่ค่อยได้เห็นงานวิจัยแบบ medium-tech แต่ใช้ประโยชน์ได้จริงกับบ้านเรา (อย่างที่อาจารย์เคยเขียน) แต่จะเป็นอะไรที่นึกไม่ออกว่าจะมีประโยชน์ต่อประเทศเราเมื่อไหร่ครับ
ผมพึ่งกลับจากชุมพรครับ ระหว่างรายทางเห็นคนขายเงาะเยอะแยะมากมายข้างถนนในราคาถูกอย่างเหลือเชื่อ
ผมคิดว่าปัญหาอีกอย่างหนึ่ง (ที่อาจจะเป็นความเห็นส่วนตัวของผมที่อาจจะมีอคติอยู่บ้าง) คือนักวิจัยไทยส่วนใหญ่รวมทั้งกรรมการขององค์กรวิจัยต่างๆ เป็น "คนเมืองหลวง" หรือ "คนในตลาด" (ลูกจีน) เกือบทั้งนั้น บางคนบ้านเกิดอยู่ต่างจังหวัดก็จริง (อย่างที่เขาชอบพูดกันอย่างภาคภูมิใจ) แต่พอดูประวัติกลับพบว่าเขาเข้าเมืองหลวงตั้งแต่เด็กๆ ไม่ได้มีโอกาสคลุกคลีกับชีวิตไทยๆ อย่างแท้จริง
คนเหล่านี้เขาไม่รู้ว่าประเทศไทยมีอะไรบ้างเพราะวิสัยทัศน์ที่เขามีต่อประเทศไทยนั้นจำกัดมากครับ ส่วนใหญ่จะเป็น "ความรู้มือสอง" คือ "เขาบอกมา" บางคนถามไปถามมาปรากฎว่ารู้มาจากละครหลังข่าว (ฮา)
ความรู้ที่มีต่อประเทศไทยที่จำกัดนี้ทำให้เขามี "passion" ต่อสิ่งที่จะมีประโยชน์ต่อประเทศไทยจริงๆ น้อยครับ
ปัญหานี้แก้ยากกว่าปัญหานักการเมืองครับ เพราะเป็นปัญหาแบบกระจายศูนย์ ถ้าจะแก้ก็อาจจะกลายเป็นวิธีการแบบ discrimination แบบมาเลย์เซียไปอีกครับ
เห็นด้วยกับดร. ธ ครับ นี่คือปัญหาระดับนักวิจัย อีกฝ่ายคือปัญหาของผู้ให้ทุนก็ขาดวิสัยทัศน์ ยังดีตอนนี้ดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก (อาจเป็นเพราะผมลุยเดี่ยวด่าไว้มากมาเป็นเวลาเกือบ ๒๐ ปีแล้ว) เมื่อก่อนตอนตั้งกันใหม่ๆ ไฮเทคลูกเดียว