ก้าวแรกที่เป็นครูกับความสุขแบบเต็มหัวใจ
คนมันถูกลิขิตไว้แล้ว อย่างไรก็ต้องเป็นครู มีช่วงหนึ่งที่งานมีมากและต้องออกงานสังคมบ่อย ภาษีสังคมมากขึ้น วันหนึ่งก็มานั่งทบทวนตัวเองว่าหลงทางหรือเปล่า ? ใช่เราไหม ? มีความสุขไหมกับงานที่ทำ คำตอบก็คือ
ก็มีความสุขดี เจ้านายก็ดี เพื่อนร่วมงานก็ดี งานก็ดี มีความสุขดี แต่สุขแบบไม่เต็มที่ ความสุขไม่เต็มหัวใจ หลายคนก็คงรู้สึกได้ว่าความสุขแบบไม่เต็มหัวใจเป็นอย่างไร จนเกิดการเบื่อหน่าย อาจเป็นเพราะงานมากขึ้น และงานบางงานก็ไม่ถนัด ก็คิดเหมือนกันว่า เอ๊ะ!เกิดอาการซึมเศร้าหรือเปล่า พอมีวันหยุดก็จะเที่ยวต่างจังหวัดเผื่อจะดีขึ้น ก็ไม่ดีขึ้นอย่างที่คิด ประกอบกับมีปัญหาอื่น ๆ เข้ามากระทบด้วย ยิ่งทำให้เบื่อหน่ายหนักขึ้น
จนเจอรุ่นพี่คนหนึ่งสมัยเรียนมัธยม ใจดีมาก บอกว่ามีงานสอนของสถาบันแห่งหนึ่ง จะมาทำงานลองดูไหม? แต่เงินเดือนน้อยนะ ตอนนั้นอยากเปลี่ยนงาน อยากได้งาน ก็ตอบตกลงไปทำงานสอน ก็เป็นครูนั่นแหละ บอกเจ้านายตรง ๆ เจ้านายก็ดีเหลือเกิน บอกว่าถ้าไปทำงานกับบริษัทอื่นนายโกรธตายแต่ถ้าเป็นครูนายบอกเออ...ดี ไปได้ไปเลย
ได้เวลาเริ่มงานครูแล้ว โอโห้! พระเจ้าช่วยกล้วยปิ้ง สวัสดีประเทศไทย งานครูไม่ได้หมูอย่างที่คิด เริ่มจากพฤติกรรมการแต่งกาย สมัยอยู่บริษัทนุ่งสั้นได้ สวมถุงน่องสวยเช้ง มาเป็นครูต้องเปลี่ยนทั้งหมด นุ่งห่มมิดชิด ระมัดระวังการพูดจา การวางตัว ต้องเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ปรับเปลี่ยนวิธีการคิด เมื่อก่อนคิด 1 -2 -3 พอมาทำงานครูต้อง 1 – 2 แล้วย้อนดู 1 – 2 แล้วค่อย 3 งานสอนครูต้องเริ่มต้นก้าวที่ 1 ไปพร้อมกับเด็กรุ่นใหม่ ทำความเข้าใจเด็กทุกครั้งที่เริ่มสอนภาคเรียนใหม่ แล้วค่อยก้าว 2 ถ้าก้าว 2 แล้ว 1 ยังตามไม่ทันก็ต้องย้อนกลับไปไล่กวด 1 ให้ทัน 2 และเด็กที่สอนก็มีหลายคนที่มีปัญหา ทั้งเรื่องครอบครัว ทั้งเรื่องเรียน ทั้งเรื่องคดีความ ทั้งเรื่องเงิน ทั้งเรื่องยาเสพติด สัมผัสคนไหนได้รู้ปัญหาของคนนั้น
สมัยทำงานอยู่บริษัทปัญหาที่เกิดขึ้นเมื่อมาเทียบกับปัญหาที่เจอเมื่อเป็นครู ต่างขั้วมากถึงมากที่สุด จนเกิดความเครียด เพราะเราช่วยเขาไม่ได้มาก บางครั้งปัญหาแก้ไม่จบ พันกันเป็นเส้นด้ายไร้จุดหมายปลายทาง หรือเสียเวลาที่จะสาวใหม่ เราได้แต่รับฟัง แล้วก็ต้องเก็บความลับ ความที่เราเป็นครู ความไว้วางใจของเด็กที่มีให้กับเราบางครั้งมีมากกว่าที่เราจะคาดถึง ความลับบางอย่างพ่อ แม่ ยังไม่เคยรู้เลย แต่ครูนี่แหละรู้ เด็กไว้วางใจว่าเราจะไม่พูด เราจะไม่บอกความลับนี้กับใคร จนรู้สึกอึดอัด
นอกจากจะแก้ปัญหาให้เด็กไม่ได้ดังใจแล้ว ยังต้องรับฟังปัญหายิ่งกว่าศิราณีซะอีก ได้แต่ให้กำลังใจ มีความรู้สึกอยากทำอะไรให้ได้มากกว่านี้ พยายามคิดหาทางออกและหาวิธีการ สิ่งหนึ่งที่ทำได้ คือ เด็กเหล่านี้ต้องมีความรู้ติดตัวไป ประสบกาณ์ชีวิตเขามีกันแล้ว บางคนมากกว่าครูเสียอีก แต่ประสบการณ์ทางวิชาการเรามีมากกว่าเขา ในเมื่อเราไม่สามารถแก้ปัญหาให้เขาได้ทั้งหมด แต่เราสร้างโอกาสและทางเลือกให้เขาได้ จึงพยายามเตรียมงานสอนถึงตีหนึ่ง ตีสอง และถ่ายทอดความรู้ที่มีให้เด็ก ๆ ให้มากที่สุดเท่าที่เด็ก ๆ จะรับได้ เชื่อไหมว่าเด็กเหล่านี้ตั้งใจที่จะเรียนรู้จากเรามากกว่าที่เราคิด
แรก ๆ อาจมีบ้างที่มีเด็กบางคนต่อต้าน เพราะบางคนไม่ชอบเรียน
ไม่ชอบคิด เพราะที่บ้านก็ถูกขีดเส้นมาแล้วและก็มีเรื่องเครียด มีเรื่องให้คิดมากพอแล้ว มาโรงเรียนยังจะมาปวดหัวกับทฤษฎีวิชาการที่ครูสอนให้อีก เราก็แก้ปัญหาโดยใช้วิธีจำชื่อ พูดคุยด้วย(ไม่มีการตำหนิ) ทักทาย ยิ่งดื้อมากเท่าไหร่ยิ่งต้องจำชื่อให้แม่น และพูดคุยด้วยให้มากขึ้นกว่าเดิม จนกระทั่งกลายเป็นลูกศิษย์ที่น่ารัก ต้องคุยและทักทายทุกเช้า เที่ยง เย็น
ยิ่งสนิทยิ่งรู้ความลับมากขึ้น กลายเป็นที่ปรึกษาให้เด็กมากขึ้น ความลับบางอย่างของเด็กบอกตรง ๆ ฟังแล้วช็อคยิ่งกว่าดูหนังช๊อคซีเนม่า เด็กวัยรุ่นมีแนวโน้มอยากออกจากบ้านไปอยู่ที่อื่นมาก เบื่อบ้านมาก เบื่อพ่อ แม่ เบื่อครอบครัว โดยเฉพาะแรงกดดันที่เขาได้รับจากคนรอบข้าง จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจจากคนรอบข้างก็ตาม ไม่ใช่ว่าเด็กเขาจะไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาทำผ่านมาแล้วมันผิด เขารู้ว่ามันผิด เขาสำนึก แต่จะให้เขากลับไปแก้ไขไม่ให้มันเกิดขึ้นไม่ได้ มันเกิดขึ้นแล้ว เขาได้บทเรียนแล้ว แต่ขอให้หยุดแค่นั้นได้ไหม ความรู้สึกของเด็กคือ เขาคิดว่าคนรอบข้างไม่หยุดให้เขา พอเราถามว่า
“รู้ได้อย่างไร”
เด็กบอกว่า
“หนูก็เป็นคน มันสัมผัสได้กับความรู้สึกแบบนั้น” หรือ
“ ก็เขาแสดงออกกันขนาดนั้น จะไม่ให้รู้สึกได้ไง”
จะเป็นเพราะเด็กคิดมาก หรือเป็นเพราะองค์ประกอบหลาย ๆ ด้านที่ทำให้เด็กรู้สึกแบบนั้นก็ไม่อยากหาคำตอบแล้วในตอนนั้น เพราะเรื่องสัญชาติญาณมนุษย์พูดกันยาก
เมื่อสนิทสนมและได้รับความไว้วางใจจากเด็ก ๆ มากขึ้น ความร่วมมือในการเรียน การทำกิจกรรมอะไรก็ง่าย ความสำเร็จก็ตามมา บอกอะไรก็ง่ายขึ้น ที่สำคัญต้องแสดงให้เห็นว่าเด็กมีความสำคัญ พยายามให้เขามีส่วนร่วมในเรื่องการแสดงความคิดเห็น ต้องอดทนและใช้เวลาหลายเดือน โชคดีที่เด็กกลุ่มนี้ได้ตามสอนด้วยทั้งปี จึงทำให้งานครูดูไม่สาหัสเหมือนก้าวแรกที่เข้ามาเป็นครู
เด็กวัยรุ่นอาจมองดูว่าเขาทำอะไรไร้สาระ แต่จริง ๆ มีสาระ เพราะเป็นความพยายามของเขาที่จะมีส่วนร่วมในกลุ่ม ในสังคมและพยายามทำตนเองให้สังคมยอมรับ การแสดงออกบางอย่างดูไม่น่าทำ มันดูตลก บางอย่างมันดูช่างร้ายกาจ เช่น บิดมอเตอร์ไซด์เสียงดัง คุยเสียงดังโชว์ชาวบ้าน จับกลุ่มใหญ่ ๆ เที่ยวตามงาน ชาวบ้านบางคนดูว่าน่ากลัวตั้งแก็งค์ ถ้าผู้ใหญ่มีทางเลือกและโอกาสให้วัยรุ่นเหล่านี้แสดงออกให้ถูกทาง ช่วยชี้แนะก่อนที่จะคิดและมองตำหนิการกระทำของพวกเขาจะดีมาก
ปัจจุบันมีผู้ใหญ่ใจดีเปิดโอกาสและทางเลือกให้เด็กมากกว่าที่ผ่านมา หลายชุมชนพยายามนำพาลูกหลานในชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมชุมชน เช่น งานวัด งานบุญต่าง ๆ การแข่งขันฟุตบอล การแข่งขันกีฬาพื้นบ้านของชุมชน โดยใช้บ้าน โรงรียนและวัดเป็นตัวเชื่อมโยง
เมื่อเร็ว ๆ นี้ก็ยังประทับใจเด็กวัยรุ่นในชุมชนที่ตนเองอยู่ เค้ายังอยู่ในวัย 15 – 20 ปี เท่านั้น แต่มีจิตอาสาในการทำกิจกรรมร่วมกับชุมชนอย่างไม่ขัดเขิน คนในชุมชนก็ให้ความสำคัญกับเด็ก ๆ อยากให้เป็นแบบนี้ทุกชุมชน อยากให้เด็กรู้ว่าเขาก็สำคัญ เขามีความสำคัญกับชุมชนที่เขาอยู่ และชุมชนต้องการเขาเข้ามามีส่วนร่วม เวลามีงานใด ๆ ในชุมชนอยากให้ดึงเด็ก ๆ เข้ามาร่วมกิจกรรม จงเชื่อว่าเขามีความสามารถเรียนรู้ ถ้าเราไม่สอนเขาใครจะรับสืบทอดประเพณี วัฒนธรรม ใครจะสอนเขาได้ดีไปกว่าผู้ใหญ่ในชุมชน เรื่องภายในชุมชนใครจะรู้ดีไปกว่าผู้ใหญ่ในชุมชน ผู้ใหญ่ก็มีแต่จะแก่ลงไปทุกปี เริ่มหมดแรงทำกันไม่ไหว เด็กเหล่านี้คือผู้สานต่อ
ไม่รู้คนอื่นจะคิดเหมือนกันหรือเปล่า พวกเขาคือ ตัวแทนของเรา เราส่งสิ่งดีให้เขาสานต่อ ชุมชนก็จะดี สังคมก็จะดี ประเทศชาติก็จะดีด้วย เราตายก็นอนตายตาหลับเพราะมีคนสืบทอดต่อแล้ว ถูกต้องด้วย เพราะเป็นผู้ถ่ายทอดให้เองกับมือ จริงไหม!
.....นอกประเด็นไปนิด ย้อนกลับไปตอนที่เป็นครูครั้งแรก ก็เจองานช้างอย่างที่เล่ามาข้างต้น เมื่อเด็ก ๆ มีปัญหาทางออกของเด็ก ๆ คือการหนีออกจากบ้าน ถ้าโชคดีเจอเพื่อนที่ดีก็รอดเรื่องยาเสพติดไป ไปอยู่บ้านเพื่อน บ้านแฟน ซึ่งอาจเป็นชายแท้ หรือชายเทียม อย่าลืมว่าสังคมเปลี่ยนไป นี่คือความจริง เด็กบางคนหาเงินได้เก่งกว่าครูเสียอีก อย่าถามว่าหาอย่างไร เพราะมันเป็นความลับของเด็ก เคยถามเด็กว่า
“ทำไม่ต้องออกจากบ้านไปอยู่กับคนอื่น”
เด็กตอบว่า “ไม่อยากรับรู้ ”
ก็คือ เขาไม่อยากเห็นสิ่งเก่า ปัญหาเก่า ที่สะสมมานานเท่าไหร่ไม่รู้ในใจเขา แล้วเขาเองก็ไม่สามารถแก้ไขมันให้ดีขึ้นได้ สู้หนีไปให้พ้น ๆ ดีกว่า เรียกว่าหนีปัญหาว่างั้นเถอะ ถามว่าปัญหาหมดไปไหน เราก็จะเห็นว่าปัญหาไม่หมดถ้าเด็ก ๆ ยังคิดแบบนี้ และเป็นแบบนี้ กลับจะยิ่งเพิ่มประเด็น เพิ่มปัญหามากขึ้นอีก จะมากหรือจะน้อยก็ไม่รู้ได้ จึงต้องเตือนสติบอกเด็กอยู่เสมอว่า
“รอก่อนนะ รอปีกแข็งแรงก่อนแล้วค่อยบินนะ ถ้าบินตอนนี้จะไม่ได้อะไรเลย เจอพายุลูกเดียวก็หล่นพื้นแล้ว ช่วยกันนะช่วยกันสร้างปีก กอดคอประคองปีกน้อย ๆ ไปด้วยกันก่อน เรียนให้จบ เราจะได้มีปีกที่แข็งแรง คราวนี้เราจะกระพือปีกออกแรงบินได้เลย ไปไกลแค่ไหนก็ได้”
ให้เขาคิดเอง ตัดสินใจเอง บอกแล้วไงว่าประสบการณ์ชีวิตเด็กบางคนมีมากกว่าครูเสียอีก เขาคิดเองได้ ครูเตือนสติได้อย่างเดียว จะทำตามหรือไม่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเด็ก ถ้าขืนบอก
“ไม่ได้นะต้องกลับบ้านเดี๋ยวนี้”
ระวังเถอะว่าชั่วโมงเรียนต่อไปจะเจอเด็กคนนี้ ดีไม่ดีไปยาว เสียเด็กไปไม่พอ เราต้องเสียใจ เสียดาย ที่ไม่สามารถช่วยเขาได้ มันจะจำติดสมองไปอีกนาน แต่โชคดีเหลือเกินเด็ก ๆ ที่ตนเองดูแลอยู่เชื่อฟัง และเขาก็ให้ความช่วยเหลือกันเอง รักใคร่กันดี อดีตของใครก็ของคนนั้น ไม่มีการพูดถึง พูดถึงแต่อนาคต เด็กเริ่มมีความฝัน ซึ่งตนเองคิดว่าความฝันเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะความฝันทำให้คนเรามีความหวัง เมื่อมีความหวังก็มีพลังที่จะสู้ต่อ มีแรงผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง จนวันที่เด็กกลุ่มนี้เรียนจบ
จริง ๆ ก่อนหน้านี้คิดจะลาออกเพราะเจองานช้างแล้วเครียด บอกครูที่สนิทด้วยว่าอาจลาออกนะ เพราะได้งานสอนอีกที่ ได้เงินเดือนมากกว่า ปรากฏว่าข่าวไวมาก พอเข้าห้องสอนเด็ก ๆ ตั้งคำถามเลย
ตัวเองคิดว่า...เฮ้ย! ชีวิตฉันนะ ฉันจะอยู่จะไปมันเรื่องส่วนตัวนี่นา...
แต่ต้องหยุดความคิดเพราะมีเด็กคนหนึ่งอายุมากกว่าใครในกลุ่มพูดว่า
“อาจารย์อยู่ส่งพวกผมให้จบก่อนได้ไหม”
โอโฮ! ตอนนั้นขนลุกซู่เลย คิดในใจ....
เฮ้ย! เรากำลังทำอะไรอยู่เนี่ยะ คิดทำบ้าอะไรอยู่ เห็นแก่ตัวมากไปไหม สิ่งที่กำลังตัดสินใจทำมันไปกระทบความฝันและความหวังของเด็ก ๆ กลุ่มนี้
ตอนนั้นรับปากเด็กไปทันทีเลย ตกลงฉันอยู่ต่อ เราจะก้าวไปพร้อมกัน ขอให้ตั้งใจเรียน ร่วมกันทำให้สิ่งที่หวังไว้สำเร็จให้ได้ ก็อยู่สอนจนเด็กรุ่นนี้จบการศึกษา หลายคนได้งานทันที หลายคนสอบราชการติด ได้งานดี ๆ กันทุกคน ก็เลยทำให้ค้นพบ นี่ไง! ความสุขแบบเต็มหัวใจ มันมีค่ามาก มีค่ามากกว่าจะตีเป็นมูลค่าเงิน
ข้อแนะนำสำหรับคุณครู ;)...
ลองค่อย ๆ จัดข้อความ ประโยคบันทึกให้อ่านง่ายขึ้นนะครับ แบบเป็นท่อน ๆ ก็ได้ครับ
เนื้อหาน่าอ่านมาก ๆ แต่จะอ่านยากไปนิดครับ
ขออภัยนะครับ ;)...
"ครู คือผู้สร้างโลก ด้วยการสร้างศิษย์..."
เป็นกำลังใจให้คุณครูช่วยกันปลูกเมล็ดพันธุ์แห่งความดีงามนะครับ