จุดเริ่มต้น
คำว่า “ครู” ไม่เคยอยู่ในสมองเลยตั้งแต่เด็ก ๆ อยากเป็นนักธุรกิจ อยากเป็นนักจัดรายการวิทยุ อยากเป็นนักเขียนมากกว่า เหตุผลง่าย ๆ ครูคือฮีโร่ ครูคือคนเก่ง ครูคือสุดยอดของสุดยอด ไม่รู้อะไร
ก็ถามครู ทำอะไรไม่ได้ก็ไปหาครู จะแก้ปัญหาอะไรก็ถามหาครู ตั้งแต่เล็กจนโตครูคือคนเก่ง คนดีที่สุด ดังนั้นจึงมองตัวเองว่าไม่มีทางเป็นอย่างครู ตอนเรียนจบมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีการจัดงานเลี้ยงอำลา
และขอขมาครู ครูท่านหนึ่งใจดีมาก ท่านอายุมากแล้ว ไม่กี่ปีก็เกษียณ ท่านผูกข้อมือให้แล้วท่านก็อวยพรให้ ท่านมองหน้าครู่หนึ่งแล้วยิ้ม ถามว่า
“จะเรียนต่อ ม.4 ไหม?”
ก็ตอบท่านไปว่าเรียนค่ะ แต่ไม่รู้จะไหวไหม เพราะเรียนไม่ค่อยเก่ง ท่านหัวเราะชอบใจ
“เออ....รู้ตัวเองก็ดี จะได้ขยัน เรียนสูง ๆ นะต่อไปจะได้เป็นครูนะ”
บอกตรง ๆ ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรเลย ไม่ได้คิดว่าท่านทำนายดวงให้ล่วงหน้าด้วย คำเตือนของท่านที่ว่า....รู้ตัวก็ดีจะได้ขยัน.... ไม่ได้เข้าสมองเลยตอนเรียน ม.4 มากระตุ้นเตือนตอน ม.6 ต้องบอกว่าด้วยความมานะและแรงฐิทิที่มีสูงมาก อยากลบคำสบประมาทของคนอื่นว่าไม่มีทางเรียนได้รอด พยายามจนจบปริญญาตรีแต่ไม่ใช่สาขาครู ก็บอกแล้วไงว่าครูไม่อยู่ในสมอง ทำงานบริษัทมาหลายปี ทั้ง ๆที่เงินเดือนก็สูงน่าพอใจ แต่ก็รู้สึกเหมือนตัวเองหลงทางบอกไม่ถูก เหมือนหาตัวเองไม่เจอ เหมือนไม่โดนใจ เหมือนถูกลิขิตไว้แล้ว...ปกติจะเดินไปทานข้าวใกล้ ๆ ที่ทำงาน ไม่อยากเดินข้ามฟากไปไกลเพราะแดดร้อนมากและขี้เกียจถือร่มไปด้วยให้รุงรัง แต่วันนั้นนึกอยากเปลี่ยนทางเดิน เดินข้ามฟากไปอีกทาง พลันก็มีแสงแวบ ๆ แทงเข้าตา พอหันไปมองก็พบกับประกาศรับสมัครอาจารย์สอนของสถาบันแห่งหนึ่ง เกิดความสนใจ
วันต่อมาก็เลยลองเดินเข้าไปคุยกับอาจารย์ในสถาบันนั้นดู ถามว่าต้องทำหน้าที่อะไรบ้าง ?รูปแบบงานเป็นอย่างไร ? ครูที่นั่นก็ใจดีเหลือเกิน ท่านก็อธิบายอย่างดี น่ารักมาก และให้บังเอิญว่าจำนวนชั่วโมงมันเกินภาระงาน มีวิชาหนึ่งยังไม่มีครูสอน ก็บอกท่านว่าสนใจแต่ยังไม่ได้ลาออกจากงาน ยังไม่รู้เจ้านายจะว่าอย่างไร ครูท่านนั้นก็บอกว่าต้องมาทำงานเต็มเวลาจึงจะรับ เราก็เข้าใจก็ขอกลับไปคิดก่อน เป็นอันว่าตอนนั้นยังไม่ได้เป็นครู เป็นเพียงประกายไฟแวบ ๆ เหมือนมาเตือนว่า ได้เวลาแล้วนะ