ลดนาเพิ่มป่า (คิดขวัญวันพืชมงคล ๘)


อย่างนี้แล้วเราเลิกทำนาเลี้ยงโลกเสียทีดีไหม หันมาปลูกป่าไม้เนื้อแข็งกันดีกว่า เพราะบ้านเรานั้นแดดฝนดี ไม้โตเร็วกว่าเมืองฝรั่ง 10 เท่าเห็นจะได้

เดินทางไกลเที่ยวนี้ผมใช้เวลา 10 วัน ตระเวนไปตามแนวตะเข็บชายแดนลาว เลียบเลาะไปตามริมฝั่งโขง จากนั้นกระโดดไปเลาะริมแม่เมยจากแม่สะเรียงจนถึงแม่สอด (เส้นทางคดเคี้ยวเปลี่ยวเหงาที่สุดในประเทศไทยก็ว่าได้ หนึ่งชั่วโมงมีรถสวนมาหนึ่งคัน เต็มไปด้วยไทยกระเหรี่ยงตัวเล็กๆ ที่สะพายย่ามแสนน่ารัก)

 

สิ่งที่เห็นเหมือนกันไปหมดริมสองข้างทางสองพันกิโลเมตรที่ขับรถผ่านไปคือเขาหัวโล้นที่ถูกบุกรุกถากถางต่อหน้าต่อตาเจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่ขับรถผ่านไปมาทั้งวัน (เช่น นายตำรวจใหญ่ ผู้ว่า นายอำเภอ และนักการเมืองทั้งหลาย) ผมจึงได้เกิดแนวคิดว่าถ้าสามารถเอาพื้นที่หลายล้านไร่เหล่านี้คืนมาได้ แล้วปลูกป่าไม้เนื้อแข็งสัก 10 สกุลสลับกันไป เช่น สัก มะค่า เต็ง รัง ประดู่ พยุง ชิงชัน แดง เราจะได้ป่าไม้เศรษฐกิจขนาดใหญ่มาก ที่สามารถสร้างความร่ำรวยให้ประเทศได้อีกมากโข แถมยังจะกลายเป็นป่าต้นน้ำให้เราได้มีพื้นดินอุดมสมบูรณ์กว่าเดิมอีกด้วย

 

วิธีการคือเราปลูกป่าดังกล่าวเป็นเวลา 20 ปีก่อนที่จะตัดไม้มาใช้ โดยการทะยอยตัดอย่างยั่งยืน สมมุติว่าเราปลูกป่า 10 ล้านไร่ ในแต่ละปีจัดตัดมาใช้เพียง 5 แสนไร่เท่านั้น อีก 9.5 ล้านไร่เป็นพื้นที่ป่าปลูกที่มีอายุจาก 1 ถึง 19 ปี เต็มพื้นที่ ป่าที่ตัดไม้ออกก็ปลูกป่ากลับคืนทันที หรือจะใช้วิธี 20 ต้น ตัด 1 ต้นก็ได้ จะได้ดูเหมือนว่าไม่มีรอยแหว่ง  อย่างนี้เขาเรียกว่า ตัดสาง  ที่สวีเดน เขาก็ทำแบบนี้แหละ (ผมไปวิจัยมาด้วยตนเองด้วยการเดินป่าแล้วสังเกตเอาด้วยตา)

 

 

ไม้ 5 แสนไร่ที่ตัดมานี้เราเอามาเพิ่มมูลค่าด้วยการทำเฟอร์นิเจอร์ชั้นดีส่งออกขายในประเทศและทั่วโลก ผมได้ลองคำนวณดูว่าถ้าเนื้อไม้ 1 ลูกบาศก์เมตรขายได้ 1 แสนบาท (อาจดูว่าแพง แต่ผมว่าถูกแล้ว ถ้าเอามาทำเป็นเฟอร์นิเจอร์ชั้นดีอาจได้ถึง 1 ล้านบาทด้วยซ้ำไป) แต่ละปี (5 แสนไร่) จะขายได้ถึงประมาณ 1 ล้านล้านบาทถึง 5 ล้านล้านบาท (อย่าลืมด้วยครับว่าผมได้ประเมินรายได้ประชาสัญชาติไทยจริงๆขณะนี้มีเพียง 1.35 ล้านล้านบาทเท่านั้นเอง ทั้งที่ตัวเลข GDP เรา 9 ล้านล้าน)

 

 ในขณะที่ถ้าเอาที่ดิน 10 ล้านไร่ทั้งหมดมาทำนาจะขายได้เพียงประมาณ 5 หมื่นล้านบาทเท่านั้นเอง  (คิดไร่ละ 5000 บาท และยังไม่หักรายจ่ายค่าปุ๋ยยาฆ่าแมลงที่เข้ากระเป๋าต่างชาติไปอีกตั้งครึ่งค่อน แต่การทำป่าไม้ดังกล่าวมีรายจ่ายน้อยมาก เพราะให้เทวดาดูแลเสียเป็นส่วนใหญ่)

 

อย่างนี้แล้วเราเลิกทำนาเลี้ยงโลกเสียทีดีไหม หันมาปลูกป่าไม้เนื้อแข็งกันดีกว่า เพราะบ้านเรานั้นแดดฝนดี ไม้โตเร็วกว่าเมืองฝรั่ง 10 เท่าเห็นจะได้ 20 ปีก็ได้ต้นขนาดใหญ่ 20 ซม. สูง 10 เมตรแล้ว แต่เราลืมคิดถึงแหล่งรายได้อันงามนี้ของเราไป ไปถางเอามาทำไร่นาเสียหมด ลองคิดดูสิครับโซฟาไม้สักน้ำหนักไม่ถึง 30 กก. ราคา 3 หมื่นสบายๆ (ถ้าออกเมืองนอกก็กลายเป็นแสนไปแล้ว) ตก กก. ละ 1000-3000 บาท มันเป็นรายได้มหาศาลจริงๆ  (ในขณะที่ข้าวเปลือกกก.ละ 10 บาทเท่านั้น)

 

แต่ถ้าจะทำแบบนี้รัฐบาลต้องชาญฉลาดในการวางแผนระยะยาว (ซึ่งอะไรยาวๆนั้นน่าเป็นห่วงเสมอสำหรับรัฐบาลไทย)  ด้วยการผลิตบุคลากรนายช่างไม้ฝีมือดีออกมาให้เต็มประเทศ (ซึ่งขณะนี้หายากมาก ช่างไม้ไทยเราส่วนใหญ่ตอนนี้ฝีมือแย่มาก สู้พม่าไม่ได้ ไม่เชื่อไปดูที่แม่สอด ค่าแรงวันละ 50 บาท แต่ฝีมือดีกว่าช่างไทยวันละ 300 บาทเสียอีก)

 

 อีกทั้งต้องมีนักออกแบบชั้นดีที่รู้ใจลูกค้าต่างชาติอีกด้วย มีการตลาดครบวงจร โดยการส่งออกไปขายนั้นให้ถอดออกเป็นชิ้นๆ  ส่งทางเรือ แล้วเอาไปกระกอบที่ต่างประเทศ โดยเรามีโชว์รูมคนไทยขายเองทั่วโลกไปเลย จะเกิดรายได้ครบวงจรตั้งแต่ปลูก ผลิต จนกระทั่งขาย

 

 รวมทั้งรัฐต้องมีแผนการสร้างรายได้ให้เกษตรกรที่หันมาปลูกป่าในระหว่าง 20 ปีนี้ด้วย เช่น ให้เป็นเจ้าหน้าที่ดูแลป่าไม้ของตัวเอง ให้ปลูกพืชผักสวนครัวแซมป่าเพื่อช่วยค่าครองชีพไปด้วย ในขณะเดียวกันก็เอาไปเข้าโรงเรียนช่างไม้เพื่อเตรียมพร้อมผลิตเฟอร์นิเจอร์ ในระหว่างนี้ก็อาจซื้อไม้จากประเทศเพื่อนบ้านและจากป่าของเราเองมาผลิตขายไปพลางก่อน หรือ หัดทำเฟอร์นิเจอร์ไม้เนื้ออ่อนเช่น สะเดา ยูคา กระถินเทพาขายไปพลางก่อนก็ได้

 

ผมเชื่อว่าตลาดโลกมีความต้องการเฟอร์นิเจอร์ไม้มาก ยิ่งพอบอกว่าเป็นไม้สักจะสู้ราคากันไม่อั้นเลย เพราะมันกลายเป็นไม้ในเทพนิยายไปแล้ว (ทั้งที่ก็งั้นๆแหละ ผมชอบไม้แดง ไม้มะค่า พยุง ชิงชันมากกว่า)

 

นอกจากความชุ่มชื้นอุดมสมบูรณ์ร่มเย็นแล้วชาวเกษตรป่ายังสามารถปลูกพืซแซมการปลูกป่าเพิ่มรายได้ได้อีกมาก เช่น มัน กลอย กระบุก กล้วยไม้ ไม้เถาต่างๆที่ชอบแดดรำไร รวมไปถึงไข่มดแดง แย้ กระแต กระรอก นก หนู งู ที่จะเพิ่มจำนวนขึ้นมากมายเข้ามาเป็นอาหารป่าให้ชาวบ้าน

 

ประเทศไทยเราต้องเกาะต้นไม้กินนั่นแหละดีที่สุด จะรวยแบบยั่งยืน แถมอยู่เย็นเป็นสุขกันถ้วนหน้า อย่าให้เขาดูถูกได้อีกว่าแผ่นดินนี้มีดีทุกอย่างยกเว้นมีคนไทยเข้ามาอยู่

 

...ทวิช จิตรสมบูรณ์ ๑๑ พค. ๕๒

 

ปล. ขณะนี้ พย. ๒๕๕๓ ผมได้แนวคิดเพิ่มว่า ไทยเราควรลดพื้นที่ทำนา ไร่ ลงมา เอาให้มีแค่พอกินใช้ในประเทศเท่านั้น แล้วนำพื้นที่ที่เหลือมาปลูกป่าดีกว่า เพราะทำนาได้กำไรสุทธิไร่ละประมาณ 3000 บาทเท่านั้น แต่ถ้าปลูกป่าทำเฟอร์นิเจอร์จะได้ ไร่ละ 1 ล้านบาทต่อปี (คำนวณแล้ว ไม่ว่าปลูกไม้อะไรก็จะได้เท่านี้แหละ ถ้ารู้จักเพิ่มมูลค่าให้ดี)  แถมป่ายังช่วยป้องกันน้ำท่วม และช่วยลดโลกร้อนได้ด้วย  วันนี้ผมอ่านข่าวเศรษฐกิจการเกษตรทีไรก็แสนเศร้าใจที่รัฐบาลไทยคิดได้แต่จะแข่งกับเวียตนามเพื่อส่งออกข้าว..ผมว่าปล่อยให้เขาแซงเราไปเถอะครับ เรื่องแบบนี้ไปแข่งทำไมให้โง่

 

 

หมายเลขบันทึก: 487487เขียนเมื่อ 9 พฤษภาคม 2012 09:21 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 พฤษภาคม 2012 13:50 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท