นายหัว
นาย เจ้าชาย ณ เมืองห้วยแร่

ตังเก…มหาลัยชีวิต (ภาค 1)


ตังเก…มหาลัยชีวิต

ตังเก…มหาลัยชีวิต (ภาค 1)

ความสำเร็จในชีวิต เงินทอง การได้รับการยอมรับจากสังคม การได้ทำในสิ่งที่ตนใฝ่ฝันและได้ครอบครองในสิ่งที่ตนหวัง เป็นตัณหาและกิเลสจำเป็นที่มีอยู่ในมนุษย์ทุกผู้ทุกคน ความกระหายอยากที่พุ่งทะยานสูงสุดเหนือขีดจำกัดใดๆ จะเกิดขึ้นในหมู่ชนต่างๆ แน่นอนวัยหนุ่มวัยสาวคือผู้บรรเลงบทเพลงแห่งความสุขสันต์ บทเพลงแห่งความฝัน บทเพลงแห่งความกระหายอยาก ตามรอยกระแสสังคมเพ้อเจ้อปัจจุบันวันนี้

ยามเมื่อข้าพเจ้ารับประทานอาหารตามร้านอาหารและภัตรคารต่างๆ เมื่อข้าพเจ้าสั่งปลามารับประทานหรือเวลาเพื่อนรับประทานปลาเป็นอาหาร ข้าพเจ้าจะย้ำกับตัวเองอย่างเคร่งครัดและจำนงสั่งต่อสหายว่ากินปลาคราวใด กินให้หมดอย่าให้เหลือ ปลาต่างๆมีความศักดิ์สิทธิ์และมีคุณค่ากว่าที่คุณคิด ยิ่งเป็นปลาไส้ตัน หรือปลากะตัก ภาษาใต้เรียกว่า ปลาจิ้งจั้ง ด้วยแล้วนั้น เมื่อท่านทราบที่ไปที่มาของปลานี้แล้ว ท่านต้องร้องไห้ทั้งน้ำตาและท่านกินมันให้หมด อย่างไรหรือท่านอาจสงสัย

ย้อนหลังไปเมื่อประมาณ 7 ปีที่แล้ว สมัยข้าพเจ้าเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เป็นเด็กมอปลายหัวเกรียนๆของโรงเรียนภูธรในจังหวัดสตูล ด้วยความที่เป็นลูกชาวนาชาวไร่บ้านนอกจนๆ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องพยายามแบ่งเบาภาระของครอบครัว สมัยนั้นข้าพเจ้ายังจำได้ดี น้ำยางกิโลกรัมละไม่กี่สิบบาท แต่คนก็ยังพอใจทำกินได้อยู่ มองดูปัจจุบันน้ำยางกิโลกรัมร้อยกว่าบาท คนก็บอกว่าอยู่ไม่ได้ มันอย่างไรกันหนอ หาเรื่องมาประท้วงเรียกร้องต่างๆมากมาย มันเป็นอย่างไรกัน เราหาได้ไม่พอกินจริงหรือ หรือว่าเราไม่เคยพอ หรืออย่างไร

เรื่องของเรื่องมันมิใช่เรื่องยางพาราหรือราคาน้ำยาง แต่เป็นเรื่องอดีตเมื่อว่างๆเสาร์อาทิตย์ หรือเวลาปิดเทอม ข้าพเจ้าก็ต้องช่วยทำงาน ช่วยเก็บน้ำยางกับครอบครัว เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระแก่ครอบครัว ขณะเวลานั้นในโสตประสาทของข้าพเจ้ามันพุ่งพล่านไปด้วยแนวคิดที่ว่าทำอย่างไรหนอ ทำอย่างไรกันจะได้มีตังค์จ่าย อยากมีตังค์ อยากให้พ่อแม่สบาย อยากให้เราให้ครอบครัวมีความสุข ข้าพเจ้าจึงต้องดิ้นเกือบทุกกระบวนการและวิธีการ

พี่ชายคนโตของข้าพเจ้าเป็นนายหัวเรือประมงตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ ไต้เต้ามาจากเด็กเรือตังเก เด็กเก็บปลาขนปลา จนมาสู่นายหัวเรือตังเก มีลูกน้องเป็นสิบเป็นร้อย พี่ชายคนที่สาม คนที่สี่ก็เจริญรอยตามไปเป็นเด็กเรือตังเก เงินค่าตอบแทนสมัยนั้นประมาณ 500-600บาท ถือว่ามากทีเดียว เรื่องเรียนเรื่องศึกษาอย่าไปพูดเลย ไม่มีใครสมัยนั้นตระหนักถึง ไม่มีใครเรียนคิดร่ำคิดเรียนเลย พูดไปพูดมาเราจะโทษความยากจนมันก็เข้าข่ายน่าจะโทษได้ ยากจนข้นแค้น จนแล้วจนอีก จนแล้วก็เจ็บ เจ็บเพราะไม่รู้ ไม่รู้เพราะไม่เรียนไม่ศึกษา จะบอกว่าเราโง่เราก็ไม่ปฏิเสธเลย ด้วยความโง่ที่สะสมจึงจำเป็นต้องหาทางออก มีวิธีเดียวที่จะมีศักดิ์ศรีกอบกู้ศักดิ์ศรีขึ้นมาได้ ก็ต้องแลกกับหยาดเหงื่อและเล่ห์เหลี่ยมชีวิตในแง่มุมต่างๆ เราแสวงหาความมั่งมีเพื่อมาขับไล่ความอ่อนแอ ความยากจน ความโง่และไร้ศักดิ์ศรี ข้าพเจ้าและสังคมข้าพเจ้าศรัทธาในสิ่งนั้นโดยไม่รู้เลยว่าแท้จริงมันอาจไม่ฉลาดเลยที่คิดแบบนั้น แต่เราคือเรา เราจึงเดินตามทางของเรา อย่างไม่รู้และหลงทาง

เป็นภาพที่เห็นเป็นโศกนาฏกรรมชีวิตครั้งมโหฬารของสังคมข้าพเจ้า หลุมดำหลุมพรางของความโลภโมโทสัน ความต้องการอันมืดบอดก่อขึ้นในสามัญสำนึกของวัยรุ่นวัยอยาก การโฆษณาชวนเชื่อ ภาพฟ้อง การมีเงินจ่าย มีรถมอเตอร์ไซค์เท่ๆขับขี่ เป็นตัณหาที่วัยรุ่นในตำบลต้องการการตอบสนอง แล้วอย่างไร เขาเหล่านั้นต้องทำอย่างไร

การออกทะเล 2 เดือนกลับมาพร้อมเงินเดือน 20,000-30,000 บาท เป็นที่ล่อตาล่อใจวัยไร้เดียงสาทั้งหลาย จนลาก ลวงและฉุดกระชากหนุ่มๆสาวๆ ให้เดินสู่วังวนแรงงานตังเก เด็กแพปลา ลากจนยกหมู่บ้านหมดตำบล เด็กที่เรียนๆในหมู่บ้านขี้เกียจเรียนก็ออกทะเล มีปัญหาก็ออกทะเล จนกล่าวได้ว่าตำบลแถบบ้านข้าพเจ้า สามารถก่อตั้งตำบลหมู่บ้านใหม่ได้เลยในเกาะลังกาวีทีเดียว

ด้วยความที่ข้าพเจ้าทำมาทุกๆอย่าง ลองมาทุกกระบวนการวิธีการ ไม่ว่าเวลาว่างหรือไม่ว่าง กรีดยางก็ดี เป็นเด็กก่อสร้างก็ดี เด็กขนไม้เถื่อนก็ดี ดำน้ำหาสาหร่ายทะเลขายก็ดี เป็นเด็กขึ้นภูเขาเก็บกล้วยไม้หาของป่าหาพรรณไม้มาขายก็ดี ทำมาหมด ข้าพเจ้ารู้สึกว่าชีวิตมันมีรสชาติอย่างแรง เหลือสิ่งเดียวที่ข้าพเจ้าอยากลองดูก็คือการลงทะเล ไปเรือตังเก ข้าพเจ้าไม่เคยไปและอยากลองดู ในใจที่คิด กูอยากไปๆๆ ต้องไปให้ได้และหาโอกาสมาตลอด

ช่วงนั้นโอกาสดีทีเดียว เป็นช่วงปิดเทอมมอห้าขึ้นมอหก มีเวลาประมาณ 3 เดือน ข้าพเจ้าจึงขออนุญาตบิดามารดาไปลงทะเลไปเรือตังเกเป็นเวลา 2 เดือน บิดาข้าพเจ้าก็บอกข้าพเจ้า มึงจะไปก็ไปตะ แต่มันเหนื่อยมากทีเดียวนะเว้ย มารดาข้าพเจ้าก็ห่วงหนักเพราะข้าพเจ้าเป็นลูกคนสุดท้องน้องเล็ก แต่อย่างไรก็แล้วแต่ มารดาข้าพเจ้าก็ทราบดีว่าห้ามก็ห้ามเหมือนห้ามเปล่า ห้ามอะไรไม่เคยได้ ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ สุดท้ายไปก็ไป ข้าพเจ้าบอกตรงๆดีใจมาก เริ่มจัดแจงกระเป๋าเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็น ยัดใส่กระเป๋า พร้อมความฝันโง่ๆของเด็กบ้านนอกมอปลายคนหนึ่ง ที่ในหัวสมองคิดถึงเรื่องเงิน เรื่องกางเกงยีนลีวายรีมแดงตัวใหม่ เรื่องมีเงินจ่าย จินตนาการข้าพเจ้าฟุ้งซ่าน แม้อีกสองสามวันเรือจะออกทะเลก็ตามที

เมื่อสามวันผ่านไปได้เวลารวมพล นายหัวเรือนัดรวมพลลูกน้องตังเก บ้านก็อยู่ใกล้ละแวกบ้านของข้าพเจ้า เราทุกคนมารวมตัวกันรวมพลและเตรียมเดินทาง ด้วยรถกระบะไทเกอร์ สมัยนั้นถือว่าใครมีกระบะไทเกอร์สักคันบอกได้เลยว่าฐานะดีใช้ได้ เรามารวมตัวกันรถกระบะคันเดียวยัดซ้อนกันเกือบ 20 คน เฉพาะพวกเรือตี(ฝ่ายจับปลา) จากนั้นก็เดินทางไปตำมะลัง ที่ท่าเรือตำมะลังจังหวัดสตูล เป็นท่าเรือออกสู่ทะเลพรมแดนระหว่างไทย-มาเลเซีย เป็นท่าเรือประมงขนาดใหญ่ ข้าพเจ้ามองไปเห็นเรือจอดแน่นิ่งเรียงเป็นตับๆ ส่วนผู้คนที่อยู่บนลำเรือดูยั่วเยี่ยะประดุจดั่งหนอนบนปลาเน่า ยุ่งน่าดู

รถยนต์จอดสนิทข้าพเจ้าและพวกเพื่อนๆพี่ๆกระโดดลงจากรถด้วยความเมื่อยก้น กลิ่นทะเลโชยมาตามสายลม ข้าพเจ้าสูดมันอย่างกระหายและใคร่ท้าทายมันเต็มทีแล้ว เรานับจำนวนเด็กเรือ เรือตี(ฝ่ายจับปลา) 15 คน เรือต้ม (ฝ่ายต้มปลา ตากปลา และลากปลา) 15คน รวมแล้ว 30 คน นอกจากนั้นยังมีนายหัวเรือ 1 คนเป็นหัวหน้า ไต่ก๋ง1คนเป็นผู้ขับเรือบังคับเรือ ถือว่าเป็นกัปตันเรือ และมีอินเนีย(ช่างเครื่อง)1 คน นายหัวเรือดูแลเรือตี รองคอ(รองนายหัวเรือ) 1คนเป็นผู้ดูแลเรือต้ม ชมพู่(พ่อครัว) 1คน นับๆรวมอีกทีเป็น 31 คน คือนายหัวเรือ ชมพู่ รองคอ อินเนีย นับรวมกับพวกเรือตีเรือต้มแล้ว บวกมาอีกคนคือ ไต่ก๋งนั่นเอง ได้เวลาออกทะเลแล้วน้ำขึ้นปากคลองดูใหญ่กว้างขึ้น เรือกระชากตัวออกจากท่า น้ำแหวกกระจายฉีกออกเป็นริ้วๆ ความตื่นเต้นข้าพเจ้าอุบัติขึ้น ณ เวลานั้นข้าพเจ้าก็จินตนาการถึงภาพข้างหน้า ภาพความฝันฝันจากทะเล

ลังกาวีมันใหญ่ไหมหนา สองสามเดือนเราต้องอยู่ในทะเลตลอดหรือหวะ จะมีพายุมีคลื่นลมหรือเปล่า เรือมันจะรั่วไหม มันจะคว่ำหรือเปล่า เราจะเข้าห้องน้ำขี้เยี่ยวยังไงกัน เดินลงไปในลำเรือตั้งนานไม่เห็นห้องน้ำเลย ซวยละกู ตอนนั้นไม่รู้ว่าอะไรทำให้ข้าพเจ้าต้องพุ่งพล่านไปด้วยความวิตกกังวลความคิดเรื่อยเปื่อย ความเพ้อฝันร้อยแปดประการประดังเข้ามาในสมอง

หันหลังไปท้ายเรือ ดูเหมือนว่าแผ่นดินมันวิ่งหนีจากเรา เปล่าเลยเราวิ่งหนีห่างจากแผ่นดินต่างหาก หากแต่ว่าเรากำลังไปแสวงหาโชคชะตาและความว่างเปล่าที่ด้านหน้านั้น ภาคหน้าเรามิสามารถล่วงรู้ได้เลยว่าตรงไหนมีปลาตรงไหนไม่มีปลา เราอาจจะได้รับความว่างเปล่า เสียเวลาและความขาดทุนอย่างย่อยยับกลับมาหรือเปล่า เราไม่รู้ไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นเช่นไร เราหนีแผ่นดินมาพอไกลสมควร จนแผ่นดินลับหายเหลือแต่ทะเล ซ้ายก็ทะเล ขวาก็ทะเล เหนือ ใต้ ตก ออก ก็ทะเล ทะเลๆๆ มองไปบนฟากฟ้าก็เห็นฟ้าเปล่าๆ มันอ้างว้างจริงๆ ข้าพเจ้าอยากถามคนอื่นนักในเวลานั้น ว่าพวกคุณรู้สึกอย่างไรกันหรือ แต่เมื่อเมี่ยงมองไปก็พบเห็นวงสนทนาใบจาก กลิ่นควันกัญชาโขมงใหญ่กระจายฟุ้ง รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าเขาเหล่านั้นข้าพเจ้าจึงรู้คำตอบได้โดยพลัน มองกลับเข้าไปกลางลำเรือ วงไพ่ป๊อกเด้งก็เริ่มปฏิบัติการอย่างครื้นเครง ส่วนไอ้พวกที่นอนก็นอนไป ข้าพเจ้าเก็บคำถามไว้ ถามและตอบตัวเอง กูเหงาหวะ ทะเลเหี๊ยะอะไรหว่ะ !

2 ชั่วโมงมาแล้วจากชายฝั่งตำมะลัง มุ่งหน้าสู่เกาะลังกาวี ตอนนี้ย่างเข้าน่านน้ำมาเลเซีย ข้าพเจ้าตื่นเต้นกับทิวทัศน์หมู่เกาะต่างๆที่สวยสด ผ่านหาดทราย ป่าเขาอันตระการตา เห็นลังกาวีมาแต่ไกล กระเช้าลอยฟ้าเหนือเมฆา ประภาคารขนาดมหึมาที่มาคอยต้อนรับอาคันตุกะอย่างเราด้วยความทมึงทึง สถานีไฟฟ้าและไฟสัญญาณบนหุบเขาสูง ส่งสัญญาณไฟวาบวามเหมือนกับโบกไม้โบกมือต้อนรับพวกเรา มาเลย์มันดีแฮ่ะ รู้สึกว่าใจชื้นขึ้นมาทันที

เข้าเขตลังกาวีแล้ว เราใกล้ถึงที่หมายบูกิตมาลุต ท่าเรือประมงขนาดใหญ่ของลังกาวี เรือประมงลอยลำเข้าใกล้รัศมีเกาะ เครื่องยนต์เรือก็แหกปากไม่เคยหยุดตั้งแต่เมืองไทยแล้ว ภาพเรือประมงนับร้อยๆลำจอดแน่นิ่งสงบ บางลำมีไฟแว้บๆ หลากสีประดับบนลำเรือ บางลำมีเครื่องบินไอพ่นขนาดเท่าตัวคนประดับโคมไฟตั้งสง่าบนหลังคาเรือ บางลำมีรูปสัตว์ประหลาดประดับหลังคาเรือ เสาอากาศเสาสัญญาณเสาวิทยุเล็กใหญ่สั้นยาวเรียงเป็นตับๆ ทุกลำเรือผูกผ้าแพรหลากสีประดับหัวเรือ ข้าพเจ้ายิ้มๆนี่มันงานนิทรรศการการประกวดเรือหรือเปล่า เข้าสู่ช่วงเวลาค่ำ หลังจากเราออกมาจากไทย ประมาณ 4 โมงเย็น จากตำมะลังไทยแลนด์ สู่ลังกาวีมาเลเซีย

แรกเริ่มข้าพเจ้านึกว่าคงเมาเรือตายแน่ๆ แต่ก็ไม่เป็นอะไรมาก ด้วยเพลินกับการชมวิวทิวทัศน์จากไทยถึงมาเลย์ พอตอนใกล้ค่ำนั้นก่อนถึงเขตมาเลย์ พ่อครัวประจำเรือ(ชมพู่) ก็หุงข้าวและแกงไก่ผัดเผ็ด เป็นมื้อแรกให้ทุกคนได้กินกัน คนแก่ๆอาวุโสในลำเรือก็บอกข้าพเจ้า ชมพู่มันหุงข้าว หุงแกงของไว้แค่นั้น คือหน้าที่มัน มันหมดหน้าที่แล้ว ใครกินก่อนกินหลังกินหมด ใครอด ใครอิ่มมันไม่สน ดังนั้นหิวไม่หิว มึงไปกินก่อนเดี่ยวมึงจีอดเจ็บพุงตาย ประสบการณ์แรกก็มาถึงทันที แย่งกันแดกแล้วไม่ทันถึงไหน สุดๆเลยครับพี่น้อง ตอนนั่งกินข้าวเรือก็โคลงไปโคลงมาเพราะคลื่นมาเขย่าๆเรือ กินข้าวล้างมือเปิบข้าว นั่งกินข้าวต้องนั่งยองๆ ครัวของเรืออยู่ที่ท้ายเรือ ทันทีทันใดก็เจอทีเด็ดรับน้องเลย มีคนมานั่งขี้ที่ท้ายเรือ บางคนยืนฉี่มือกำไข่มือหนึ่งจับขอบหลังเรือเพราะกลัวตก ไอ้คนที่นั่งขี้ก็เอาผ้าปิดหน้าคลุมหัว มือหนึ่งกุมเสาหลังขอบเรือ เป็นประสบการณ์สองต่อ กินข้าวมื้อนั้นรับรองได้ว่ากับข้าวไม่ว่าอร่อยมาจากไหน หรือหิวให้ตายแค่ไหน คุณกินไม่ลงแน่นอน แต่นั่นสิ นี่เรือตังเก คนอื่นนั่งกินข้าวเฉยเลย มีแถมอีกนั่งกินข้าวไปพลางแกล้งคนนั่งขี้ไปพลาง ข้าพเจ้าละซึ้งสุดๆเลยครับพี่น้อง ประเดี๋ยวกูจะเจออะไรดีๆอีกต่อไปวะเนี๊ยะ! **** มีภาคต่อ****

หมายเลขบันทึก: 487334เขียนเมื่อ 7 พฤษภาคม 2012 15:08 น. ()แก้ไขเมื่อ 2 สิงหาคม 2016 13:36 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

สลาม....นายหัว

(ชมพู่มันหุงข้าว)ชมพู่ ..จุ่มโพ่.ก็คือคนทำอาหารให้กิน

เมื่อ ห้สิบปีล่วงคนปากยูนบอกว่า "เรียนไหรหนังสือ เงินเดือนหมวดเงินเดือนนายอไเภอ" ออกเลสามวันได้มากหวา

สตูล ตรัง พังงา กระบี่ ภูเก็ต ระนอง เลฝั่งอันดามัน วิธีลูกเลล้วนมีประสบการณ์ ที่เหมือนคล้ายกัน

รุ่นก่อนหน้านายหัว เขาตัดไม้บ้อง ไม้เตาถ่านอาชีพนี้ก็น่าสนใจศึกษาที่มาทำระบบการส่งอกถ่านมาทำให้นิเวศชายเลเปลี่ยน

คนเฉียงขอนหาตัวเพรียงที่ต้องเอามาให้ภรรยาที่ได้ลูกอ่อนแฝงด้วยความเป็นพ่อรักครอบครัว

นอกชานไม้พังงาถึงเวลาต้องเปลี่ยนทุกปี มีนัยทางวิถี ของคนเล

การตกปูโดยใช้ "ตั้งโกย"ในอดีต มีความยในการดักปูที่ต้องรอคอย

อ่านบันทึกนี้แล้ว นึก ร่อหีม ในเด็กชายชาวเล ผลงานของ พี่ถา(สถาพร ศรีสัจจัง) หรือพนม นันทพฤก

ขอบคุณที่ทำให้หวนถึงเมื่อเด็กๆ

ครับ เดี่ยวมีภาคต่อครับ^

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท