ภารกิจใหม่ของพ่อแม่เริ่มต้นแล้วค่ะจากกิจกรรมอินเทรนด์ของนักศึกษาวัยรุ่น Work & Travel ค่ะ
เอ่ยปากคราวนี้ เหมือนจะมากกว่าการขออนุญาต
มากกว่าจะหยั่งเสียงดูว่าพ่อแม่จะยอมให้ไปไหม
คราวนี้ลูกเราเอาจริงแน่เลยค่ะหลังจากการเคยสมัครไปลองข้อสอบเพื่อไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนต่างประเทศเมื่อครั้งเรียนหนังสือระดับเตรียมอุดมศึกษา
คราวนั้นพ่อแม่ก็อีกๆ อักๆ อยู่ เมื่อผลสอบข้อเขียนผ่าน
แต่น้ำหนักเหตุผลที่ร้องขอยังมีมากพอที่ลูกจะยอมฟัง
รอให้มีความเป้นผู้ใหญ่(วุฒิภาวการณ์ตัดสินใจ)
หรือเรียนระดับปริญญาตรีก่อนดีไหม ความจริงของพ่อแม่อย่างฉันคือ
ความเห็นแก่ตัว? หรือความขี้เป็นห่วง?
ไม่อยากให้ลูกคนเดียวจากตัวเองไปนานเป็นปี
สาวน้อยสมัครไปลองข้อสอบข้อเขียนเล่นๆ อยู่สองครั้ง ก็ผ่านทั้งหมด
สอบข้อเขียนผ่านครั้งแรก พอถึงวันพรุ่งนี้นัดสัมภาษณ์
ฉันค่อยโล่งอกเมื่อปรากฏว่าหนูเปลี่ยนใจไม่ไปแล้ว
ส่วนอีกครั้งไม่มีการสัมภาษณ์เพราะคะแนนผ่านเกณฑ์
เหลือแค่ตกลงใจไปแต่ไม่สานต่อ เหตุผลคงแค่อยากรู้แนวข้อสอบ
(ว่าหนูก็แน่เหมือนกัน)
แต่ฉันคิดว่ากว่าสาวน้อยจะผ่านจุดการตัดสินใจมาได้
ในสมองของเธอคงจะแบ่งเป็นสองฝ่าย
คิดหาข้อดีข้อเสียสลับว่าไปหรือไม่ไปดีนะ
และอาจจะมีความคิดฝ่ายดี(ดีหรือไม่!)
คือให้ความสำคัญกับความรู้สึกของพ่อแม่ปู่ย่า แต่การขอไป Work &
Travel
ที่พ่อแม่ไม่อาจปฏิเสธและไม่อาจต่อรองให้เธอรอจบการศึกษาระดับปริญญาตรีก่อนค่อยไป
ก็คือพันธะสัญญาในครั้งนั้น
"รอให้เรียนมหาวิทยาลัยก่อนแล้วค่อยสอบชิงทุนไปดีไหม ถึงตอนนั้นหนูก็
เป็นผู้ใหญ่มากขึ้นแล้ว" เอาละค่ะ เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว
เราก็มาพูดคุยกันแบบผู้ใหญ่ๆ จะเริ่มต้นกันตรงไหน
พ่อและแม่และเจ้าของความคิดจะไป Work & Travel
นี้จะต้องทำอะไรบ้าง
สรุปได้ว่างานนี้พ่อแม่มีภารกิจอยู่ที่ต้องเตรียมสตางค์จ่ายตามกำหนดเวลาที่บริษัทที่ลูกเลือกเป็นตัวแทน แจ้ง (รวมแล้วประมาณแสน) แอบลุ้นเวลาที่มีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์มาจากบริษัท/ร้านค้าในต่างประเทศที่ลูกเลือกสมัครไปทำงาน และเตรียมใจเตรียมอาการเป็นห่วงวิตกจริต กินไม่ได้นอนไม่หลับสามเดือนค่ะ
เท่านั้นเอง ฟังดูเหมือนไม่ยากแต่หนักใจนะคะ
ถึงแม้ว่าโลกวันนี้เราสื่อสารถึงกันเหมือนกำลังเผชิญหน้ากันห่างแค่คืบเดียวก็ตามเถอะ
แต่มันขาด"กอด"
ไปใช่ไหมคะ
เอาละค่ะ เมื่อเราคุยกันแล้วว่า “อนุญาต”
ก็ต้องยอมรับความจริงกันละค่ะ ที่เหลือๆ
ก็เตรียมตัวเตรียมใจเมื่อลูกรักห่างเราออกไปไกลกว่าเดิม
จากที่ไปเรียนหนังสือห่างเรา 700 กิโลเมตร เรายังห่วงนักห่วงหนา
แต่เข้าใจ-ทำใจได้
แล้วนับประสาอะไรกับห่างไกลเกินครึ่งฟ้าก็แค่สามเดือนเอง
อีกหน่อยลูกอาจสอบชิงทุนไปเรียนต่อนานเป็นปี ฝึกใจไว้ค่ะ
ส่วนภารกิจของสาวน้อย ในระยะฟักไข่
เริ่มแรกเธอจะหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาป้อนผู้เป็นพ่อแม่
ญาติผู้ใหญ่ สืบเสาะทั้งจากผู้รู้ผู้มีประสบการณ์การเดินทางไปมาก่อน
ปรึกษาหารือกับเพื่อนๆที่ตัดสินใจร่วมหัวจมท้ายไปทำภารกิจนี้ร่วมกันว่าจะไปอยู่ร่วมกันที่ไหนดี
ตรงนี้ผู้ปกครองสบายใจค่ะที่เด็กๆ คิดวางแผนกันเองและไม่ทำอะไรคนเดียว
ไปที่ไหน ทำงานอะไร เลือกเมืองที่จะไปที่เขารับเด็กเข้าทำงานเป็นทีม
3-5 คน และที่สำคัญที่สุดคือการเลือกบริษัทที่ไว้วางใจได้
และมีการเตรียมตัวเตรียมความพร้อมให้เด็กๆ อย่างไร
และรวมไปถึงเรื่องการเรียนพิเศษเพิ่มเติมด้านภาษาที่สาวน้อยของฉันอดทนขวนขวายขยัน
อย่างที่เหมือนจะเคยเล่านะคะว่า ถ้าเรื่องการเรียนจ่ายได้เต็มที่ค่ะ เพราะเห็นประโยชน์ที่จะตกกับผู้เรียนโดยเราจะไม่ไปบังคับต้องอย่างนั้นอย่างนี้ น่าดีใจที่สาวน้อยเป็นเด็กเรียนเสมอต้นเสมอปลาย และรู้ที่จะแก้ไขจุดอ่อนของตัวเอง อย่างเช่นระยะหลังๆ มาฉันจะได้รับรายงานเสียงเริงร่ามาตามสายว่า"สอบผ่านมีนแล้ว" หรือได้คะแนนเยอะมากวิชานั้นวิชานี้
การไปทำหนังสือเดินทางใหม่ การไปยื่นสอบวีซ่า.
ล้วนเป็นประสบการณ์ที่สาวน้อยของฉันต้องผ่านมันด้วยตัวเองลำพัง
ซึ่งจะว่าไปแล้วเธอโชคดีนะคะที่สามารถทำอะไรได้เองในวัยเพียงเท่านี้
เพราะผู้ปกครองไม่ได้อยู่ด้วยใกล้ๆ
ประสบการณ์แรกอาจจะหนักหนาสาหัสอย่างเช่นการขึ้นรถเมล์ที่วิ่งในเส้นทางที่ไม่เคยไปมาก่อน
การลงรถเมล์ก่อนหน้าป้ายเป้าหมายเพียงป้ายเดียวที่ค่อนข้างจะสาหัสกับการเดินเท้า.
การหาสะพานลอยเพื่อข้ามฟาก แล้วพบว่าเพิ่งจะเดินผ่านมันมา
หรือแม้แต่การถามเส้นทางและอาคารเป้าหมายที่จะไป
ทำให้รู้อีกว่ายังมีผู้คนในบริเวณพื้นที่ที่เธอไปนั้น
ไม่ค่อยจะรู้ว่าสถานที่ที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือสถานที่อะไร
เป็นประสบการณ์ดีๆที่สาวน้อยได้รับและคงจดจำได้ไปอีกนานค่ะ
ในที่สุดสาวน้อยก็ได้เดินทางไปทำงาน ได้ท่องเที่ยว
ได้เรียนรู้โลกใหม่ของการทำงาน การทำความรู้จักเพื่อนต่างชาติ
การใช้ชีวิตในต่างประเทศแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ
การพบเจอปัญหาสารพัดและการแก้ไขปัญหาระหว่างใช้เวลาในต่างแดน
ซึ่งการที่เธอมีประสบการณ์อยู่คนเดียวในมหานครมาสองปีนี้ ทำให้ฉัน
“เบาใจ” (แต่ยังไม่วางใจ)
มากกว่าคุณแม่ของเพื่อนสาวน้อยที่ไม่เคยจากบ้านจากอ้อมกอดแม่ไปไหนไกลมาก่อน
อย่างไรก็ตาม
มีข้อดีและเสียในภารกิจนี้ที่ผู้ปกครองไม่ควรมองข้ามค่ะ
...ในปีเดียวกันที่สาวน้อยของฉันไป Work & Travel นี้เอง
ถ้าติดตามข่าวทางสื่อมวลชนจะพบว่ามีข่าวการเสียชีวิตของนักศึกษาหญิงคนหนึ่งที่ไปทำภารกิจพิเศษนี้
เป็นข่าวหน้าหนึ่งอยู่หลายวันและหลายฉบับเล่นเอาบรรดาพ่อแม่อย่างฉันและอีกหลายๆ
คนผวานอนไม่หลับ ไปตามกัน แม้นว่าเวลานั้นภารกิจ work ของเด็กๆ
กำลังจะสิ้นสุดลง. และเริ่มอยู่ในช่วงเวลาการ Travel ซึ่งแน่นอนค่ะว่า
เป็นห่วงไม่รู้จบสิ้น
และแล้วทุกอย่างก็ดำเนินไปอย่างราบรื่น
สาวน้อยได้ทำงานตามเวลาและข้อกำหนดภารกิจ Work &
Travel ได้มีรายได้พิเศษๆ
มาจับจ่ายซื้อของและใช้ในการท่องเที่ยวหาประสบการณ์ที่ดี
มีรายได้ส่วนหนึ่งกลับคืนมาให้พ่อแม่ด้วย
และได้ผลการเรียนที่น่าพอใจยิ่งขึ้น
เห็นได้ชัดโดยเฉพาะด้านความมั่นใจและกล้าแสดงออกด้านภาษา
เวลาเดินไป ทุกชีวิตดำเนินไป
และความเป็นตัวเองของสาวน้อยที่ค่อยๆ เติบโตเป็นผู้ใหญ่
ทำให้เราเรียนรู้ว่า ผู้เป็นพ่อแม่ต้องยอมรับให้ได้ว่าเราจะตัดสินใจอะไรแทนเขาไม่ได้ทั้งหมด
จงวางใจและเฝ้าดูห่างๆ
แต่พร้อมที่จะพุ่งเข้าไปช่วยเหลือประคับประคองทันทีที่เขาต้องการหรือออกปาก
บางสิ่งบางอย่างเขาอาจคิดว่าตัดสินใจได้
ยอมปล่อยโอกาสให้เขาทำไปเถอะค่ะ
ประสบการณ์แรกไม่ว่าผลจะออกมาดีหรือไม่ดีอย่างไร
เขาจะจำมันได้ชัดเจนค่ะ
ผมว่าจะเขียนความเห็น เขียนไปเขียนมายาวเป็นบันทึกนี้ครับ
อยากให้เครื่องตรวจสุขภาพ มาที่ประเทศเราบ้างจังเลยครับ
เพราะบ้านเรา อยากมาก ได้แค่ แบบนี้
สวัสดีค่ะอาจารย์ ดร. ธวัชชัย ปิยะวัฒน์
สวัสดีค่ะท่าน เกษตร(อยู่)จังหวัด
ผมก็ได้แค่ออกความเห็นครับ งานที่มีอยู่ก็ล้นมือเกินกว่าจะแบ่งเวลามาทำเรื่องนี้ได้ หวังว่าจะมีใครในแวดวงมหาวิทยาลัยผ่านมาอ่านเจอแล้วจุดประกายอยากทำขึ้นมาครับ ผมว่าเริ่มต้นง่ายๆ จากการ accredited บริษัทผู้ให้บริการก่อนเลยก็ได้ครับ
นึกเล่นๆ ว่าเก้ามหาวิทยาลัยวิจัยไทยลงทุนมหาวิทยาลัยจะล้าน องค์กร accreditation นี้ก็มีทุนดำเนินการเลี้ยงตัวเองอยู่ได้แน่ๆ แล้วครับ หนึ่งล้านบาทต่อมหาวิทยาลัยนี่คุ้มมากเมื่อเทียบกับความปลอดภัยของนักเรียนนักศึกษาครับ