441. ความรู้ท่วมหัว..เอาตัวให้รอด (Reflection 3)


ว่าด้วย Appreciative Inquiry ตอนที่ 441

วันนี้เป็นบทความเขียนไว้สอนนักศึกษา Positive Organization Development เป็นตอนที่สามครับ..ท่านที่เข้ามาอ่าน อาจเจอศัพท์แสงหน่อย ขออภัยนะครับ..เป็นการวิคราะห์ตนเอง ผ่าน Kolb's Model of Experiential Learning..ว่าที่ละองค์ประกอบนะครับ...

Concrete Experience เหตุการณ์โดด มันโดดๆขึ้นมา

"ของเรา นี่เราใช้ที่ปรึกษา...@##$%%" 

"ของเราใช้ระบบประเมินแบบ ##$%%$ ของบริษัทนี้"

คุยไปเถอะครับ..กับคนในบริษัทใหญ่ๆ ที่น่าเคารพ ที่สุดลงเอยด้วยไปที่ที่ปรึกษาต่างชาติหมด...ครับ...

"บริษัทเป็นที่ปรึกษาให้มหาวิทยาลัยของคุณ.."

เรานั่งคุยกันเอง..."เออคนบริษัทพวกนี้..ดูหวังดีนะ อยากหยิบยื่น สิ่งดีๆให้มหาวิทยาลัย..แต่จะหยิบยื่นอะไรเหรอ...ความสามารถในการพึ่งพิงบริษัทที่ปรึกษาต่างชาติ..ประมาณว่าคิดไม่เป็นกัน แล้วยัง จะมาให้คำปรึกษาอะไรกับมหาวิทยาลัย..จะมาบอกว่าคนในมหาวิทยาลัยไม่ควรคิดอะไรเองให้เป็นเหรอ"

เฮ๊ย มองโลกในแง่ร้ายไปรึเปล่า...

มันรู้สึกจริงๆ ครับ รู้สึกมานาน..บริษัทใหญ่พวกนี้ เคยทำอะไรไกล้เคียงกับ I-phone บ้างหรือไม่..ตั้งแต่ใช้บริการที่ปรึกษามา ดึงเอาคนเก่งที่สุด ไปทำงาน..นับทศวรรษ..แต่ที่สุด มากลัวจีน..มากลัว AEC ...ตอนนี้ถึงขั้นกลัวพม่ากันแล้ว...

เมื่อไหร่ เราจะมี Steve Job มี I-phone...ในวงการรถยนต์ วงการปูน..เวลาไปต่างประเทศที่..ในงานประชุมระดับโลก..เวลาไป ไม่เห็นจะมีความคิดดีๆ..จากบริษัทพวกนี้ไปโชว์บ้าง...

บริษัทพวกนี้รวยมหาศาล มีลูกจ้างจบมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของโลก เดินแทบชนกัน..แต่..ป่านนี้..น่าจะสร้างยานอวกาศกันได้แล้ว..เข้าใจว่าน่าจะมีคนเก่งรวมกันมากกว่า NASA...

เป็นเพราะ.."พึ่งพาสติปัญญาคนอื่นมากไปหรือเปล่า"

 

Reflection...มันเชื่อมโยงกับอะไรน๊า...

ในเรื่ององค์กรแห่งการเรียนรู้ครับ..ของ Peter Senge...คนในองค์กรมันไม่เรียนรู้หรอกครับ..ต้องพึ่งพาที่ปรึกษา...เพราะมี Mental Model กันแบบนี้มาตลอด..ดูดีครับ..เวลาไปไหน..บอกว่า เรียนมาจากที่ปรึกษาเจ้านี้..เรียนกับอาจารย์คนนี้..มันคุยกับคนอื่นง่ายดี..ผมเจอมาเยอะครับ..แทบไม่จำเป็นต้องต่อสู้กันทางความคิดเลย...Mental Model..คือรูปแบบความคิดครับ..รูปแบบเหตุและผล..ถ้าไม่ย้อนถามตัวเอง..ไม่ตรวจสอบ..ก็จะเชื่ออยู่อย่างนั้น..แล้วก็ปฏิบัติอยู่อย่างนั้น...

 

ล่าสุดใช้รถยนต์ยี่ห้อหนึ่ง ของญี่ปุ่น ผิดหวังครับ..เอารถไปบำรุงรักษา..ตามระยะ..สองครั้งแล้ว..อะไหล่ตัวละพัน..ไม่มีครับ..ต้องนัดให้มาเปลี่ยนในวันหลัง..ล่าสุดถึงกับปรี๊ดครับ...จะไปเที่ยวสงกรานต์ แฟนเป็นหมออุตส่าห์ นานๆจะหยุดที..เอารถเข้าอู่ ปั๊มน้ำเข้าหม้อน้ำซึม..โน่น ช่วงสงกราต์ถึงได้อะไร..

ก็ถามว่า..แล้วผมจะไปได้ไหม...เที่ยวน่ะ.."

พนักงานตอบว่า

"เอ้อ ต้องคอยดูหม้อน้ำ"

"อาจารย์คะ. ลูกค้าบ่นกันมาก. แต่บริษัท. ส่ังไม่ให้มีสต๊อกค

"ถามจริงๆเถอะ ไม่ห่วงความปลอดภัยของลูกค้าเหรอ"

 "..........."

 ....

ที่สุดก็ต้องดิ้นรนไปเปลี่ยนที่อื่น....

...

ครับนี่ Mental Model ของบริษัทรถญี่ปุ่น.."ลดสต๊อกให้เหลือศูนย์ เพื่อต้นทุน"

คนคิดดีครับ..แต่อย่าลืม ตอนนี้บริษัทญี่ปุ่นแพ้รังวัดไปหลายอุตสาหกรรม ก็ไอ้ความเชื่อบ้าๆ ครับ. โดยเฉพาะเรื่อง Lean ที่หน่วยงานหลายแห่ง อยากใช้ตามครับ. Lean คือการทำผอมที่สุด โดยเฉพาะบริษัทที่ยึดมั่นแนวคิดนี้ วัตถุประสงค์สูงสุด คือ กำจัดสต๊อกครับ...ที่สุดได้ "0" จริง..แต่กลับไปผลักภาระให้ผู้บริโภค...ต้องเสียเวลาขับไปขับมาครับ..ไม่สนใจหรอกครับ..ว่าลูกค้ามันจะเดือดร้อนไหม..รถมีคันเดียวไหม..อุตส่าห์ทำงานมา อยากเที่ยวหน่อย..ปรากฏว่า ต้องรออะไหล่..

 

Conceptualization เอาอะไรมาใช้ควรปรับครับ..แล้วดูความเชื่อมโยงด้วยครับ..ไม่มีอะไรไม่กระทบกัน..คุณอาจลดต้นทุนได้..แต่อาจทำให้ลูกค้าเสียความรู้สึก...จนนำไปสู่การบอกต่อ..การเลิกซื้อ..จนเสียเชื่อไปก็มี...

อยากเปลี่ยน Mental Model คนในองค์กรลองใช้เทคนิคด้าน OD ดูนะครับ เทคิคด้าน OD นี้ มีมากครับ ที่สำคัญ "ดี" แต่ "ฟรี" ครับ...มีเครื่องมือดีๆ..ที่ ดี แต่ ฟรีนี่เยอะครับ..เช่น Appreciative Inquiry, Action Research, Kolb's Model of Experiential Learning, KM และ Dialogue ก็ดีมากๆ..นี่ฟรีทั้งนั้นครับ...

รับรองครับ..ผมเจอมาพอสมควร..Model อะไรที่ที่ปรึกษาระดับโลกบอกคุณ รับรองเครื่องมือ และปรัชญาด้าน OD แทนได้ทุกเครื่องมือ...เคยเจอ ลูกศิษย์ ที่ทำบริษัทระดับนี้ท้าทาย..."บริษัทผม..ทำอะไร ต้องเคลียร์กับลูกค้าก่อนว่า..จะเอาจริงไหม..ร่วมมือจริงไหม..เข้าใจบทบาทหรือเปล่า"...

เลยบอกเขาครับ.."ที่คุณพูดนะ Action Research ก็พูดไว้ เป็นหลักขั้นพื้นฐานด้วยซ้ำ" ....จริงๆบริษัทระดับโลกนี่ตั้งมา 20 ปี..Action Research นี่พูดมา 60 ปี แล้วครับ...


อันนี้ขำหน่อย..เคยร่วมงานกับบริษัทระดับโลก..สามวันครับ..วันแรกพี่ใช้ AI กับ Dialogue แต่ไม่ยอกบอกว่าเป็นสองอันนี้ครับ...เนียนเลย..

นี่บ่นซะเยอะ...ถึงสอนไม่ใช่อย่างเดียวครับ..ทำ Appreciative Inquiry ก็จะสอนให้มานั่งคิด นั่งใคร่ครวญว่าอะไร Work ไม่  Work ก็การทำ Reflection ที่เห็นนี่แหละครับ...ไม่งั้นว่าเขา อิเหนาเป็นเอง...ครับ..พูดง่ายๆ...การทำอะไรก็ตาม..เราจะบวกการพัฒนา Mental Model ไปด้วยครับ...ทำ Appreciative Inquiry ก็จะผสมผสาน Dialogue ไปด้วย..และอีกรูแบบหนึ่งที่ช่วยเปลี่ยนแปลง Mental Model ได้ดีมากๆ ครับ Kolb's Model of Experientia Learning นี่แหละครับ 

Experimentation การทดลอง ขยายผล 

ทดลองมานานพอสมควร ได้อะไรใหม่ๆ มากครับ..ตอนนี้ ได้สูตรเฉพาะตัวหลายอย่างเช่นการใช้ Gender Intelligence กับ AI กลายเป็น Gender-intelligence Appreciative Inquiry เอาไปสอน จนเกิดเป็นธุรกิจแนว Gender Intelligence Appreciative Inquiry มาหลายอย่างเช่นกาแฟสำหรับผู้หญิง โรงแรม การบริหารงานธนาคาร เป็นต้นครับ...จนเป็นวิจัยด้วยครับ...

และชาว AI หรือ OD ควรทำ Reflection เพื่อพัฒนา Mental Model อยู่เสมอ ไม่ให้ติดยึด...เพราะการติดยึด...สบายครับ..แต่ไม่ก้าวหน้าอะไร แถมน่ารำคาญอีกครับ..

 

 

 

 

 

 

หมายเลขบันทึก: 483981เขียนเมื่อ 2 เมษายน 2012 06:56 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 มิถุนายน 2012 17:31 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

รู้ แต่ไม่เคยเข้าถึงและสัมผัสสิ่งนั้นได้ ก็เท่ากับตำราเดินได้ ขอบคุณที่แบ่งปันและยังคิดจะเอื้อเฟื้อพวกเขาอีก มีหัวใจที่มีเมตตาจริงๆครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท