บทนำ : วิกฤตการศึกษาไทย
- ผมเชื่อว่า มีครูหลายคน อาจยังไม่ตระหนักถึงผลของการจัดการศึกษา(ฝีมือครู) ของโรงเรียนในประเทศไทย มีผลทำให้ประเทศชาติได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง จากการที่ทำให้ได้เยาวชน หรือพลเมืองที่ไม่มีคุณภาพพอ เป็นบุคลากรที่ไม่มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริง ขาดการพัฒนาคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ให้เป็นคุณธรรม หรือ จริยธรรมอย่างจริงจัง จึงทำให้สังคมวุ่นวาย แตกแยกกัน ค้าขายขาดทุน ประเทศชาติขาดการพัฒนา ฯลฯ ทั้งๆที่สังคมไทยให้โอกาสครูทางสังคมมากกว่าทุกอาชีพ แถมกระทรวงศึกษาธิการ รัฐบาลทุกยุคทุกสมัย ได้จัดสรรงบประมาณสูงมากกว่าทุกกระทรวงติดต่อมาอย่างต่อเนื่อง และให้เงินเดือน รวมทั้งการเลื่อนขั้นตำแหน่งได้อย่างรวดเร็วกว่าข้าราชการทุกกระทรวง แต่...ผลการจัดการศึกษา “ล้มเหลว-ขาดทุน” ไม่คุ้มค่าที่รัฐและประชาชนลงทุนให้มาโดยตลอด
- เพียงแค่ผลการทดสอบระดับชาติ (O-net) ในระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 ขอยกตัวอย่างปีการศึกษา 2549 ซึ่งมีทั้งหมด 2,594 โรงเรียน โรงเรียนที่มีผลการทดสอบเกินครึ่ง (250 คะแนน) มีจำนวน 21 โรงเรียน คิดเป็นร้อยละ 0.8 มีผลการทดสอบเกิน 200 คะแนน จำนวน 169 โรงเรียน คิดเป็นร้อยละ 6.52
- แต่...ปรากฏว่ายิ่งทดสอบ คะแนนก็ยิ่งถดถอยลงไปทุกปี เพราะเหตุใดล่ะ ถ้าไม่ใช่ผลงานการจัดการศึกษาของคนที่มาประกอบอาชีพครูหรือ? ซึ่งผู้ใดสนใจต้องการรู้ผลการทดสอบแห่งชาติในแต่ละปีในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มัธยมศึกษาปีที่ 3 และมัธยมศึกษาปีที่ 6 สามารถเข้าไปดูได้ที่เว็บไซด์ของ สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ) (องค์การมหาชน) https://www.niets.or.th/th/
- และแม้จะมีการประเมินคุณภาพการจัดการศึกษาของสถานศึกษาทุกสังกัด โดยสำนักงานรับรองมาตรฐานและประกันคุณภาพการศึกษา (สมศ) มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 จนถึงปัจจุบัน หมดเงินภาษีอากรประชาชนไปหลายพันล้าน จำนวนโรงเรียนที่ได้รับการรับรอง จาก สมศ.มีมากขึ้นทุกวัน แต่ก็ไม่เห็นว่าผลของการศึกษาจะมีประสิทธิภาพขึ้นตามไปด้วย จนสังคมตั้งข้อสงสัยวิธีการทำงาน และมีบางคนบางกลุ่มเสนอให้ยุบสถาบันองค์กรนี้ด้วย
- แม้กระทั่งผลการแข่งขันในเวทีระดับต่างๆ ของสากล ผลปรากฏว่าประเทศไทยอยู่ในอันดับเกือบสุดท้ายทุกครั้งไป ยิ่งถ้าต้องการทราบผลการประเมินหรือทดสอบความสามารถของคุณครูที่กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการทดสอบ ก็ยิ่งเป็นที่น่าตกใจ เพราะผลการทดสอบ พบว่า ความรู้ความสามารถของครูประเทศไทยต่ำกว่าเกณฑ์ทุกวิชา โดยเฉพาะผลการทดสอบวิชาภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ฯลฯ
ผลการจัดการศึกษาที่ล้มเหลวเช่นนี้ จะเป็นความผิดของใคร ? ใครจะรับผิดชอบ ?
ถ้า...ตราบใด การจัดการเรียนการสอนในโรงเรียนมีแต่ปัญหา
ก็จะทำให้เกิดวิกฤตทางการศึกษา
เมื่อการศึกษาวิกฤต สังคมก็วิกฤต และพาประเทศวิกฤตไปด้วย
- แท้จริงแล้ว คุณภาพของนักเรียน เป็นตัวชี้วัดคุณภาพของโรงเรียน และคุณภาพของโรงเรียนก็สามารถเป็นตัวชี้วัดคุณภาพสังคม และประเทศในที่สุด ซึ่งถ้าพวกเราครูทุกคน สามารถปฏิบัติงานของเราเป็นไปอย่างมีหลักการ และมีขั้นตอน เป็นไปตามกระบวนการเรียนรู้ หรือธรรมชาติการเรียนรู้ หรือจิตวิทยาการเรียนรู้ในการฝึกนักเรียนแล้ว นักเรียนก็จะกลายเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพและศักยภาพในการพาสังคมเจริญก้าวหน้ามั่นคงไปตามลำดับ ดังนั้น กล่าวได้ว่า “ครู” หรือ พวกเรานั่นเอง คือ ผู้กำหนดชะตากรรมของประเทศ
- เมื่อผมนึกถึงความหลังสมัยยังเป็นครูตามโรงเรียนต่างๆ ผมมั่นใจว่า ผมเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สังคมหรือประเทศ ได้พลเมืองที่มีคุณภาพดีขึ้นอย่างแน่นอน สำหรับผมเองผมชอบเป็นครู เพราะเป็นงานที่ผมทำเสร็จแต่ละภาคหรือปี ผมจะมีความสุข มีความภูมิใจเมื่อนั้นทันที ทั้งนี้ เพราะผมเห็นนักเรียนมีพัฒนาการดีขึ้นทั้งด้านความคิด อารมณ์ จิตใจ และทักษะการเรียนรู้ต่างๆ จากการฝึกของผม นี่คือความจริงที่ผมได้มาตลอดความเป็นครู 40 ปี ผมเชื่อว่าคงมีเพื่อนครูหลายท่านมีโอกาสสัมผัสถึงความรู้สึกเช่นนี้ ผมเคยสังเกตสิ่งที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนจากตัวครูที่สามารถฝึกฝนเด็กๆ หรือช่วยเหลือเด็กให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีเพิ่มขึ้น ล้วนเหมือนกันทุกคน นั่นคือ แววตา ใบหน้าที่มักมีความสุข ความภูมิใจเสมอ
- ผมเองเชื่อว่า จริงๆแล้ว เพื่อนครูทุกท่านตั้งแต่วันแรกที่เป็นครูตามโรงเรียนต่างๆ ล้วนมาด้วยใจอยากเป็นครู ตั้งใจอยากสอน อยากพัฒนาเด็กให้ดีขึ้นทุกคน โดยการพยายามหาแนวทางการสอนใหม่ๆ หรือพัฒนาคุณภาพวิธีการสอนของตัวเองอยู่เสมอ แต่การที่ครูจะทำได้อย่างนี้อย่างต่อเนื่องทุกปีจนเกษียณอายุ ล้วนต้องเผชิญปัญหาอุปสรรคนานัปการ ไหนต้องทุ่มเทเสียสละเหน็ดเหนื่อยกับการสอน-อธิบายความรู้ให้เด็ก ยังต้องเตรียมสื่ออุปกรณ์เกือบทุกวิชา เพื่อมาฝึกฝนนักเรียน รวมทั้งตรวจสอบ ติดตามการเรียนรู้ของเด็กๆแต่ละคนว่าได้ผลเป็นอย่างไร และยังต้องขวนขวายหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ จนดูเหมือนว่าครูเหล่านี้จะไม่สามารถจะสานฝันให้เป็นจริงได้ เพราะนอกจากภาระการสอนแล้ว ยังต้องมีภาระงานพิเศษที่ผู้บริหารมอบหมายให้ช่วยงาน ในแต่ละวันพอถึงบ้านก็หมดแรง แถมภาระที่จะต้องดูแลครอบครัวที่ค่อนข้างหนักหนาสาหัสพอควร ในขณะที่ทุ่มเทเสียสละเพื่อนักเรียน ก็ยังมีเพื่อนที่มาแค่ “ประกอบอาชีพครู” บางคนคอยเยาะเย้ย ถากถาง ซ้ำเติม หรือตอกย้ำว่าบ้าบ้าง อยากดังบ้าง อยากให้เด็กรักบ้างอยู่ตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้หาคนที่จะ “เป็นครู” ที่ปฏิบัติงานได้อย่างมีคุณภาพคงเส้นคงวายากยิ่งขึ้นทุกปี
- เมื่อหาผู้ที่จะคงเส้นคงวาในการพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนอย่างต่อเนื่องได้ยาก จึงทำให้วิกฤตการเรียนการสอน เกิดขึ้นในโรงเรียนทั่วประเทศ ครูที่ใจแข็งไม่พอ จึงยอมแพ้ ละเลยเพิกเฉยต่อการพัฒนาคุณภาพการสอน กลายเป็นครูส่วนใหญ่ในทุกโรงเรียนที่ต้องอยู่อย่างหมดกำลังใจ และทำให้มีปัญหาจากการปฏิบัติงานครู สะสมในจิตใจของเขาวันแล้ววันเล่า กลายเป็นคนที่มีบุคลิกหมดอาลัยตายอยาก เบื่อ เซ็ง หน้าตาไม่ยิ้มแย้มแจ่มใส แววตามีแต่ความแห้งแล้ง ไม่มีความสุข มาโรงเรียนก็มาแต่ตัว มาถึงก็บ่นแต่ปัญหาต่างๆให้เพื่อนครูฟัง หรือบ่นว่าอะไรต่ออะไรให้เด็กฟัง บางครั้งก็ตีเด็ก ทำร้ายเด็ก ด่าเด็กด้วยถ้อยคำรุนแรง ดูเหมือนคนเหล่านี้เอาเด็กๆเป็นที่ระบายความเครียดของตัวเองก็มี จนคนฟังเอือมระอาหมดศรัทธาครูไปอย่างแพร่หลาย
ในที่สุดวิกฤตการเรียนการสอน ก็กลายเป็นวิกฤตของชีวิตครูไปด้วย
- เพื่อนครูที่รักครับ ผมอยากให้เพื่อนครูรำลึกถึง “ความรู้สึกที่เป็นครู” ในวันแรก-ปีแรกที่มาทำงานบ่อยๆครับ ความรู้สึกที่เพื่อนครูอยากสอน อยากให้เด็กรู้ เด็กเข้าใจสิ่งที่เราพูดเราสอน ยิ่งถ้าเพื่อนครูจำแววตา รอยยิ้ม ใบหน้าที่ตื่นเต้นของเด็กๆ ที่ได้ฟังเราพูดเราอธิบาย ก็จะทำให้เพื่อนครูเข้าใจเป้าหมายความเป็นครูที่แท้จริง ได้แน่นอน ยิ่งถ้าเพื่อนครูสามารถรำลึกถึงวันที่เรา “ฝึกฝน มากกว่า สอน-อธิบาย-แนะนำ” จะเห็นตรงกันกับผมว่า ความตื่นเต้น กระหายในความรู้ในดวงตาของนักเรียน และความสุข ความภาคภูมิใจบนใบหน้าเด็กๆ คือ รางวัลอันสูงส่งที่เราได้รับ และคงเป็นสิ่งที่เราไม่มีวันลืมจนวันตายแน่นอน
- ผมไม่อยากเห็นใบหน้าดวงตาของครู และเด็กตามสถาบันการศึกษา หรือโรงเรียนต่างๆ มีแต่ความเครียด หมดอาลัยตายอยาก เบื่อ เซ็ง หน้าตาไม่มีชีวิตชีวา ไม่มีรอยยิ้มแย้มแจ่มใส แววตามีแต่ความแห้งแล้ง ไม่มีความสุข เห็นแต่บุคลิกที่ยอมแพ้ แม้กระทั่งอาคารเรียน ห้องเรียนก็ไม่สดใส ไม่ค่อยสะอาดเรียบร้อย ขาดบรรยากาศความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ เพราะทุกครั้งที่ผมไปประเมิน ตรวจเยี่ยมโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษาต่างๆ ผมก็หดหู่ เซ็ง หมดอาลัยตายอยากตามไปด้วยครับ