นิวไทยแลนด์ (ตอน ๕..เริ่มต้นที่ไหนดี)


ก็ธ่อ..จะเอาอะไรกันหนักหนากับนักการเมืองส่วนใหญ่ที่จ้างตั้งกันมา

เมืองไทยใหม่เอี่ยม ๕

 

 

เมืองไทยเราวันนี้มีของเก่าดีๆที่สะสมไว้มาก แต่ของใหม่ที่ไม่ดีที่แทรกเข้ามาก็มีไม่น้อย โดยเฉพาะส่วนหลังนี้กำลังมีแรงแซงหน้าส่วนแรกไปแล้วก็ว่าได้  ส่งผลให้สังคมไทยเรากำลังเคลื่อนไปสู่ความน่าสะพรึงกลัวในหลายประการ

 

การจะสร้างเมืองไทยใหม่เอี่ยม  (หรือ “นิวไทยแลนด์” ตามสำเนียงภาษานอกของรัฐบาลยิ่งลักษณ์) นั้น ถ้าถามกันไปมาว่าลึกๆแล้วจะเริ่มต้นกันที่ไหน ก็มักมาลงกันที่เด็ก (อนาคตของชาติ)  แล้วผมขอถามต่อว่า เด็กมาจากไหน..ก็ต้องตอบว่าพ่อแม่และครู (แม่พิมพ์ของชาติ)  ถ้าถามต่อว่า..แล้วพ่อแม่และครูถูกสร้างมาจากไหน...อ้อ..รร.ฝึกหัดครูงัย     แต่เรามีรร.ฝึกหัดพ่อแม่ไหม  อีกทั้งรร.ฝึกหัดครูนั้นมาจากไหน 

 

ดูเหมือนว่ายิ่งถามลึกลงไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งตอบยากขึ้นทุกที ..อีกสองสามวันก็จะถึงวันเด็กแห่งชาติ(อีก)แล้ว ท่านนายกฯก็คงรีดคำขวัญหรูๆ ออกมาให้เด็กๆและพ่อแม่ชื่นชมกันต่อไปอีกวาระ  แต่ที่ผ่านมาผมยังไม่เคยเห็นรัฐบาลชุดไหนที่คิด วางแผน  และทำ เพื่ออนาคตของชาติกันอย่างจริงจัง เป็นระบบ สักที  อย่างมากก็คิดกันได้แบบฉาบฉวยเพียงแค่ต่ออินเทอร์เน็ต แจกไอแพ็ด  เท่านั้นเอง 

 

ก็ธ่อ..จะเอาอะไรกันหนักหนากับนักการเมืองส่วนใหญ่ที่จ้างตั้งกันมา

 

ผมได้เคยเสนอให้จัดให้มี “วันคนแก่แห่งชาติ”  ด้วยเห็นว่าคนแก่นั่นแหละคืออนาคตของชาติที่แท้จริง เพราะท่านเป็นคณะกรรมการวางแผนบริหารจัดการเด็กๆ รวมทั้งจัดสรรนโยบาย  ลองช่วยกันคิดหน่อยสิครับว่าในวันนี้ จะเปิดสถานที่ราชการอะไรให้ชม หรือมีนิทรรศการอะไรบ้าง (เมรุเผาศพวัดสำคัญ  นั่งเก้าอี้นายก หรือประกวดเรียงความ “ถ้าข้าพเจ้าได้เป็นนายก” )

 

แต่อนิจจจา..วันนี้คนแก่ไทยเรานั้นไม่อาจหวังเป็นที่พึ่งได้เลย เพราะเห็นมีแต่คนแก่โลภโมโทสัน ที่รวยเท่าไรไม่รู้จักพอ คนแก่ที่ไม่เคยปล่อยวาง  ไม่เสียสละ ให้อภัย ยอมเจ็บปวดแต่คนเดียว คนแก่ที่เงินเต็มกระเป๋าซื้อคะแนนเสียงได้แต่วิสัยทัศน์สั้นกระจู๋  คนแก่ที่มีทั้งเงิน ดีกรี ป.เอกจากนอก และอำนาจมหาศาล (ประธานคณะกรรมการสำคัญหลายชุด) แต่สุดงก หวงตำแหน่ง อำนาจ และไม่ยอมฟังความเห็นใคร  (นอกจากทฤษฎีฝรั่งเก่าๆที่เคยเรียนมาและที่ปรึกษาฝรั่งต่างชาติที่จ้างมา)

 

คนแก่แบบนี้เต็มประเทศ ..แล้วแบบนี้ “อนาคตของชาติไทย” มันจะเหลืออะไรไว้ให้เราหวังได้หรือ

 

เมืองไทยใหม่เอี่ยม ที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์วาดหวังไว้นั้น ตราบเท่าที่เรายังมีคนแก่แบบเดิมๆเป็นคนกำหนดแนวทางและกติกาแล้วไซร้  ผมว่ามันน่าสะพรึงกลัวเสียยิ่งกว่าเมืองไทยแบบเดิมๆ เสียอีก

 

เมืองไทยใหม่เอี่ยมที่ดีๆนั้น ผมว่าไม่อาจกำหนดได้หรอกว่าต้องเริ่มต้นที่ใคร แต่ถ้าพูดรวมๆ ก็ต้องว่ามันต้องเริ่มพร้อมกันทุกจุดนั่นแหละ ทั้งเด็ก คนหนุ่มสาว สื่อมวลชน ครู พระ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักการเมือง

 

มีหลายท่านเสนอว่า เราต้องพึ่งตัวเอง  อย่าไปหวังพึ่งนักการเมืองเลย เพราะพวกนี้มันซื้อเสียงมา มันก็ต้องถอนทุนกันเป็นส่วนใหญ่  ..ซึ่งอันนี้พูดอีกก็ถูกอีกอยู่นั่นหละ แต่ถ้าเราได้นักการเมืองดีๆ มาช่วยเสริม (หรือถึงขนาดมานำเสียเอง) มันก็ยิ่งดีไปใหญ่ไม่ใช่หรือ

 

คำถามคือ เราจะสร้างนักการเมืองดีๆได้อย่าไร ถ้าเราทำได้ อะไรๆมันก็ง่ายนิดเดียว  เปรียบเสมือนการสร้างคานงัดที่ทุ่นแรง ทำให้เราไม่ต้องลงแรงดีดงัดสังคมมากเกินไป ซึ่งมันอาจเกินกำลังของเราด้วยซ้ำไป

 

ผมเห็นว่า การลงแรงสร้างนักการเมืองและระบบการเมืองที่ดีนั้น มันเป็นคานงัดที่ง่ายกว่าการสร้างเมืองด้วยตัวเอง (พึ่งตนเอง) หลายร้อยพันเท่า

 

พวกฝรั่งนั้นเขาสร้างระบบการเมืองด้วยมือของเขาเอง แต่ของไทยเราไม่ได้เป็นเช่นนั้น พวก “คณะราษฎร์” เพียงหยิบมือเดียวที่จบนอกและเห่อฝรั่ง ไปถอดเอายอดชฎาปชต. ฝรั่งมาสวมให้ละครการเมืองไทย แล้วบอกเราว่า เอ้า..สูเจ้าเป็นปชต. แล้วนะ  จากนี้ไปขอให้จงเจริญเหมือนฝรั่ง

 

ผมขอเสนอว่า เมืองไทยใหม่เอี่ยม ที่ง่ายที่สุดต้องเริ่มที่การเมืองใหม่เอี่ยม ที่ปรับปชต.ฝรั่งให้เข้ากันได้กับลักษณะนิสัยของสังคมไทย  พึงระลึกด้วยว่า ปชต. นั้นมีทั้งแบบทางตรง (เลือกตั้ง) และแบบทางอ้อม ซึ่งแบบหลังนี้ฝรั่งไม่รู้จักแต่สังคมไทยเราใช้กันมาช้านานแล้วด้วยซ้ำไป แม้ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชแต่สมัยอยุธยาและต้นรัตนโกสินทร์

 

ผมได้เขียนบทความนำเสนอระบบปชต.ที่สอดคล้องกับสังคมไทยไว้มากหลาย  แต่ได้รับคำด่ามากกว่าคำชมสิบเท่า  เช่น หาว่าล้าสมัย (ไม่เหมือนฝรั่ง)  สวนกระแส (กระแสฝรั่ง)  ไม่เป็นประชาธิปไตย (ทั่งที่เป็นปชต.มากกว่าปชต.ฝรั่งเสียอีก)

 

ความหวังของเมืองไทยใหม่เอี่ยมเรามีศูนย์รวมอยู่ที่ “คนไทยในแถวหน้าๆ”   ที่ต้องคิดกันให้ออกสักทีว่า การลอกระะบบปชต.ฝรั่งเขามาใช้ทั้งดุ้นแบบที่ผ่านมานั้น มันคือระบบที่กำลังทำลายชาติไทยอย่างรุนแรงที่สุด เพราะมันนำมาซึ่งการซื้อเสียงถอนทุน ที่ซึ่งไม่อาจกระทำได้ในระบบฝรั่ง เพราะคนฝรั่งเขามีนิสัยอิงตน (ปัจเจกชนนิยม)  ซึ่งต่างจากคนไทยเราโดยสิ้นเชิงที่มีนิสัย “อิงอำนาจ”

...คนถางทาง (๘ ธค. ๒๕๕๕)

หมายเลขบันทึก: 474010เขียนเมื่อ 8 มกราคม 2012 18:11 น. ()แก้ไขเมื่อ 13 กุมภาพันธ์ 2012 00:36 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

เห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะ ถ้าหัวงูไม่ส่าย หางคงไม่กระดิก

ถ้าผู้มีอำนาจ มีบารมี มีตำแหน่ง มีทุกสิ่งครบถ้วน นิ่ง

ทุกสิ่งก็คงจะ เอวัง :) ลำพังปัจเจก ทำไปก็ แค่นั้น

... เด็ดดอกหญ้า สะเทือนได้เพียงหมู่แมลง ไม่ถึงดวงดาว ...

ยิ่งจะรอเด็กๆ แน่นอนว่า รอไม่ได้ สายเกินไป ขอบคุณค่ะ

 

...นิสัยอิงตน (ปัจเจกชนนิยม) ซึ่งต่างจาก นิสัย “อิงอำนาจ”

เอามาแปลงนิดหน่อยเป็น นิสัยอิงคน (มหาชนนิยม) แล้ว “ยึดอำนาจ” ;-)

ผมเสริมนิดครับ ที่ว่า ความหวังสังคมไทยอยู่ที่คนไทยแถวหน้าๆ แต่พวกเราระดับล่างๆ อำนาจวาสนาน้อย ก็ต้องช่วยกันกดดันด้วยนะครับ เช่น เขียนบทความ หรือ ให้ความเห็นต่อท้ายบทความก็ยังดี อิอิ

เค้ามีแต่ วันเด็ก อาจารย์ 555 นี่มา วันคนแก่ ขำอีกและ แต่ก็ชอบนะ ในฐานะครู จะสอนให้เด็กเป็น คนที่ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่โลภ เป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับ หากได้เป็นผู้นำก็จงอย่าบ้าอำนาจ

วาสนา เงินทอง และต้องเสียสละเพื่อส่วนร่วม หากน้ำจะท่วม ก็บอกไปตามตรงแต่เนิ่นๆว่าท่วม (มาให้ความเห็นต่อท้ายแต่ไม่ได้กดดันนะ)

อาจารย์คะ ชักเริ่มไม่แน่ใจว่า พวกเขาเหล่านั้น คงไม่มีเวลา มาคิดเรื่องดีๆ หรือมาอ่านที่พวกเรากดดันกระมังค่ะ

ก็ลำพัง วันๆ คิดแต่เรื่องญาติโก กะขุมทรัพย์ต่างๆ ก็หมดไปแล้ว

ปล. เคยเขียน เรียนชี้แจงยังสถานฑูตต่างๆ  ยังไม่ได้ผลเลยค่ะ

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท