"ของขวัญ" ที่มีคุณค่าสำหรับตัวเอง ในปีหน้าและปีต่อๆไป


๑๙ ปีแห่งความทรงจำของผมในฐานะ "มนุษย์เงินเดือน" ผมได้ "ของขวัญ" ที่ทุกปีสำหรับตัวผม......แต่ทำไมนะ! ผมจึงมีความรู้สึกว่า "มันยังไม่ใช่"

ผมเริ่มต้นชีวิตการทำงาน เมื่อปี ค.ศ.๑๙๙๓ หลังสำเร็จการศึกษา ได้งานทำทันทีในสายงานที่ปรารถนา งานฝึกอบรม เป็นงานที่ผมรู้สึกในตอนนั้นว่า ผมสามารถทำได้ดี เริ่มต้นจากหน้าที่ เจ้าหน้าที่ฝึกอบรม เรียนรู้กระบวนการต่างๆ งานธุรการ งานภาคสนาม งานสนับสนุน ทำหมดเท่าที่จะได้รับการมอบหมายจากผู้บังคับบัญชา ระหว่างทำงานนั้น สิ่งที่ได้ตามมาก็คือ "เงิน" คือสิ่งที่ผมมีความสุขกับมันมาก เรียกได้ว่าสิ่งที่ผมทำไปนั้นไม่ได้หวังอะไรมากไปกว่า การมีงานให้ทำ เพื่อแลกกับเงินเดือนที่ผมจะได้รับมา เพื่อจุนเจือทางบ้าน (คณพ่อ-คุณแม่) ที่เหลือซื้อความสุขให้กับตัวเอง ทุกๆปีผมจะมีเงินเก็บเพื่อซื้อของขวัญให้กับตนเองเสมอ

ปีแรก รถมือสองเก่าๆสักคัน เพราะมันเป็นความฝันตั้งแต่เด็กๆ (ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจอย่างหนึ่งที่ทำให้ผมไปเรียนช่างยนต์ด้วย) แล้วปีต่อๆมา.......บ้าน, รถใหม่ป้ายแดง, โทรศัพท์มือถือ, คอมพิวเตอร์, โน๊ตบุ๊ค, ทีวี, ตู้เย็น, เครื่องปรับอากาศ ฯลฯ  วัตถุที่เป็นของขวัญสำหรับมนุษย์เงินเดือนอย่างผม ที่ต้องแลกมาด้วย "ความอดกลั้น และความอดทน" กับชีวิตที่ต้อง "หาเช้ากินค่ำ"

สิ่งที่ทำให้ผมเริ่มรู้สึกได้ถึงคุณค่าของของขวัญที่ผมได้รับสำหรับตัวผม ก็คือ การมีโอกาสได้บวชให้คุณพ่อ-คุณแม่ (ผมไม่ได้บวชครบอายุตามประเพณีครับ ผมมาบวชตอนที่อายุค่อนข้างมากแล้ว หลังจากคุณพ่อผมเสียได้ปีกว่าๆ ซึ่งตอนนั้นผมแต่งงานแล้วแต่ยังไม่มีลูก) จนหลังจากแต่งงานประมาณ ๘ ปีผมจึงได้รับของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิตนั่นคือ ลูกสาวผม "เจ้าแมวน้อยกาฟิลด์"

ความล้ำค่าที่ผมรับรู้ได้จากการเป็นพ่อคนก็คือ "ความอดทน และความอดกลั้น" ที่ต้องมีมากขึ้นกว่าเดิมอีกในความเป็นมนุษย์เงินเดือนของผม ในสมองผมแต่ละวันที่ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาที่รุมเร้า ทั้งที่บางครั้งเราแทบจะไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยเลย แต่กลับกลายเป็นว่าเข้าไปเกี่ยวกับเขาเต็มๆโดยเฉพาะเรื่องที่ไม่สู้จะดีนัก หรือเรื่องที่ไม่ค่อยจรรโลงใจ ในใจผมมันร้อนระอุเหมือนภูเขาไฟที่มันจะเกินจุดที่จะรับได้อีกต่อไป แต่พอคิดถึงลูก เสียงที่มันฝังอยู่ในสมอง ดังก้องขึ้นมาทันที....."เพื่อลูกๆ ต้องทนๆ อดกลั้นไว้ๆอย่าไปใสใจมัน....." ก็เลยทำให้ระบายความดันที่เกิดจากความร้อนภายในใจของผมออกไปได้บ้าง

วันเวลาล่วงเลยปีนี้เจ้าแมวน้อยกาฟิลด์ครบ๖ ขวบปีแล้ว ผมเป็นมนุษย์เงินเดือนมาถึงปีที่ ๑๙ วันนี้มานั่งทบทวนบทเรียนความเป็นมนุษย์เงินเดือนที่ผ่านมา ได้ข้อคิดดีๆมากมายจึงไม่อยากให้มันผ่านเลยไป.....ขอบันทึกไว้ในเว็บที่ผมรักที่สุดนี้ก็แล้วกัน

นิยามของคำว่า "มนุษย์เงินเดือน" ก็คือ "ผู้รับจ้าง" ทำในสิ่งที่ "ผู้ว่าจ้าง" ต้องการให้ทำเหนือสิ่งอื่นใด เรามักเรียกมันอย่างสละสลวยว่า "นโยบาย"

"ผู้รับจ้าง" หมายถึง ผู้ที่ยอมรับได้ในสิ่งที่ "ผู้ว่าจ้าง" ต้องการให้ทำ

"ผู้ว่าจ้าง" หมายถึง เจ้าของ หรือผู้ที่ยินยอมจ่ายเงิน และ/หรือให้ความช่วยเหลือเท่าที่พึงกระทำตามข้อตกลงที่ยอมรับร่วมกันได้ทั้งสองฝ่าย

มนุษย์เงินเดือน หรือผู้รับจ้าง อาจมีบทบาทที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งในบทบาทที่แตกต่างกันนี้เองจึงเป็นเหตุให้ต้องมีการกำหนดขอบเขตในบทบาทหน้าที่โดยความเข้าใจในธรรมเนียมปฏิบัติ และ/หรือสิ่งที่เราเรียกมันว่า "ตำแหน่ง" นั่นเอง

เมื่อมีตำแหน่งสิ่งที่ตามมาก็คือ "อำนาจ"  อำนาจที่มาโดยตำแหน่ง รวมกับสิ่งที่มาจากกรอบความเชื่อของคนในวิถีตะวันออกนั่นคือ "ความมีอาวุโส" พร้อมกับบทบาทหน้าที่ในการ "บังคับบัญชา"

การบังคับบัญชา คืออะไร? ผมเชื่อว่าคนที่เป็นส่วนใหญ่ "หลงทาง" กันไปเสียแล้ว และในขณะที่บางคนก็ติดใจในรสชาติ "ความหอมหวาน" ของมันจนยกศรีษะตนเองไม่ขึ้นเสียแล้ว! เพราะคุณตีความกันตรงๆตามความ (ยินดี) ที่จะเข้าใจกันไปเอง

"บังคับ" หมายถึง การกำหนดให้อีกฝ่ายหนึ่งทำในสิ่งที่ไม่ยินดี, ไม่ยินยอม, ไม่เต็มใจ, ไม่พร้อมใจ ให้ลงมือกระทำ

"บัญชา" หมายถึง การสั่งให้อีกฝ่ายหนึ่งต้องทำในสิ่งที่ให้ทำโดยไม่ต้องลังเลสงสัย

ในวิชา TWI-JR (ตามที่ผมได้รับมาในแบบวิถีของญี่ปุ่น) ให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า "ผู้บังคับบัญชา คือ ผู้ที่สร้างผลงานโดยผ่านตัวลูกน้อง" แล้วยังขยายความไว้อย่างน่าสนใจต่อว่า การสร้างผลงานผ่านตัวลูกน้อง หมายความว่า "ตัวเราในฐานะผู้บังคับบัญชาที่มีความพร้อมด้วยคุณสมบัติความเป็นผู้บังคับบัญชาอย่างเหมาะสม เราไม่ใช่ผู้ลงมือทำ แต่เราต้องจูงใจให้ลูกน้องทำและต้องสอนให้เขาทำได้ดีเหมือนเรา อย่างไม่มีอคติ จนเขาสามารถเป็นตัวแทนเราได้ในภายภาคหน้า” และต้องปฏิบัติต่อลูกน้องแต่ละคนโดยคำนึงถึงความเป็น "ปัจเจกบุคคล" ด้วย

ผมมองว่าสิ่งนี้เองที่เป็นวิถีเกื้อกูล และเอื้ออาทรกันของคนญี่ปุ่นในอดีตส่งทอดมาจนถึงปัจจุบัน เสริมสร้างความเข้าใจในบทบาทหน้าที่ซึ่งกันและกันในฐานะ "มนุษย์เงินเดือน" ด้วยกัน

.....ซึ่งตลอดระยะเวลาความเป็นมนุษย์เงินเดือนของผม ไม่เคยได้สัมผัส และรับรู้ได้ถึงบรรยากาศแบบนี้ และผมก็พยายามทบทวนดูซ้ำๆหลายๆครั้ง เพราะเกรงว่าตัวผมเองจะมองโลกในแง่ลบมากเกินไป แต่คิดไม่ออกจริงๆครับ

ในบริบทของเรามีแต่คำพูดที่ฟังแล้วดูดีครับ "เอื้ออาทร", "เกื้อกูล", "สมานฉันท์", "ลดความเหลื่อมล้ำ".....ฟังดูดีจริงๆ แต่ในหลักการปฏิบัติ *_* หดหู่ใจมากๆ ผมไม่ทราบว่าคนที่อยู่ในฐานะอื่นๆเป็นอย่างไร แต่สำหรับคนในฐานะ "มนุษย์เงินเดือน"ครึ่งค่อนชีวิตแบบผม นี่เป็นเพียงมุมมองของผมเท่านั้นครับ ผมคงไม่ได้หมายความว่ามนุษย์เงินเดือนทุกคนต้องคิดเหมือนผมนะ และผมก็ขอภาวนาให้คนอื่นอย่าได้เป็นแบบผมเลย จากใจจริงครับ

ผมไม่ทราบหรอกนะว่างานที่ผมได้ทำอยู่ทุกวัน มันทำให้บริษัทประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน แต่ถ้าถามว่าอยากทราบไหม? แน่นอนผมอยากทราบ ถ้ามันสามารถวัดออกมาเป็นข้อมูลเชิงปริมาณได้.....

มีสิ่งหนึ่งที่ผมเชื่อมั่นมาจนทุกวันนี้ว่า การที่เราได้ทำงานให้กับบริษัท นั่นคือการที่เราจะได้ใช้โอกาสในการดึงคุณค่าและความดีงามออกจากตนเองมาใช้อย่างมีจุดยืน และสำหรับผมพร้อมที่จะมอบสิ่งนี้กลับคืนสู่บุคลากรทุกคนในองค์กร ด้วยความยินดีและเต็มใจอย่างยิ่ง ในทุกๆครั้งที่ผมได้อยู่หน้าชั้นเรียน

ผมเชื่อว่าคนทุกคนต้องการเป็นคนดี ไม่มีใครอยากจะเป็นคนไม่ดี ถ้าเขาสามารถใช้ "ปัญญา" ในการคิดใคร่ครวญได้ ไม่มีใครอยากเป็นภาระสังคม เพราะคนทุกคนมีศักดิ์ศรีความเป็นคน มีจิตวิญญาณในความเป็นมนุษย์ทุกคน หน้าที่ของผมก็คือ "กระตุ้นให้เขาได้ใช้ปัญญาดึงเอาความดีงามในตนเองออกมาใช้ ก็เท่านั้น

มนุษย์เงินเดือนส่วนมากรักองค์กร ในส่วนลึกๆเขาไม่ต้องการจะจากองค์กรไปไหน เพราะเขารู้ดีว่า ถ้าองค์กรอยู่ได้ ตัวเขาและครอบครัวเขาก็จะอยู่รอด เขามีความสำนึกใน "บุญคุณ" ของผู้ว่าจ้าง ที่ได้ให้โอกาส แต่ก็มีไม่น้อยเลยที่พวกเขาต้องจากองค์กรไปด้วยความรัก ความอาลัย จากไปด้วยน้ำตา เพียงเพราะ "มนุษย์เงินเดือนที่ไม่มีความเข้าใจกัน" 

ปีใหม่ที่จะถึงนี้ ผมได้รับของขวัญอันล้ำค่าที่สุดอีกชิ้นหนึ่งในชีวิต นั่นก็คือ "ความเป็นอิสระทางจิตวิญญาณในการทำงาน" ปิดฉากเกษียณจากชีวิตมนุษย์เงินเดือนตลอดระยะเวลากว่า ๑๙ ปีเสียที โดยการสนับสนุนของภรรยาผม ซึ่งที่ผ่านมาเธออาจจะไม่ค่อยเข้าใจผมอยู่หลายเรื่อง แต่ปัจจุบันเธอเข้าใจในจิตวิญญาณของผม

ความกลัว ความกังวล ความเป็นห่วงอนาคตของลูก มีหมดทุกความรู้สึกครับ แต่เธอได้ให้กำลังใจผมอย่างดีว่า "ไม่ต้องเป็นห่วงอะไร ทุกอย่างจัดการได้ แค่พอ ไม่ต้องให้เกินความพอดี แค่นี้เราพ่อ แม่ ลูก อยู่กันได้อย่างสบาย" ที่สำคัญ พลังแห่งการปลดปล่อยตัวเองครั้งนี้ มันทำให้ผมมีความมุ่งมั่นทำในสิ่งที่ท้าทาย ซึ่งในอดีตผมมีแต่คำว่า "ต้องอดกลั้น และอดทน" อยู่เต็มสมองไปหมด จนทำให้เรา "ขาดกลัว" ในการที่จะทำสิ่งที่สร้างสรรค์

.....ขอบคุณสำหรับของขวัญปีใหม่ที่มีค่าที่สุดในชีวิตของผม ชิ้นนี้  

หมายเลขบันทึก: 471763เขียนเมื่อ 19 ธันวาคม 2011 17:49 น. ()แก้ไขเมื่อ 5 มิถุนายน 2012 01:45 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (26)

ความเป็นอิสระทางจิตวิญญาณในการทำงาน

ยินดีด้วยนะคะ ๑๙ ปี รึคะ กับของขวัญชิ้นพิเศษสุดนี้ ส่งกำลังใจ สุขสันต์ส่งท้ายปีเก่าค่ะ

มาเยี่ยมเยือนก่อนปีใหม่ครับ

ผมมองคุณออกว่าเป็นคนดี คนหนึ่ง คิดละอียด มีแง่คิดชวนปฏิบัติ อ่านไปแล้วก็เครียด

แต่พออ่านไปเรื่อย ทำให้คิดถึง เจ้านาย บอกว่าเป็นผู้บังตับบัญชา อย่าไปทำเอง ให้ใช้ลูกน้อง

ที่โรงเรียนมีครู ๔ คน ผมจะใช้เขาอยู่ร่ำไปหรือ ทำไมไม่สอนผมให้ช่วยเขาทำบ้าง

ทุกวันนี้ ผม ต้องคิดเอง ทำเอง ใช้คนอื่นให้น้อย สงสารครูที่สอนหลายห้อง สั่งให้น้อย เป็นเพื่อนร่วมงานมากกว่าเจ้านาย อาจเป็นผู้นำบ้าง วางท่าเป็นนนายไม่เคยทำ อะไรทำได้ทำ เก็บขยะ กวาดโรงเรียน ล้างส้วม จัดเอกสาร (เพราะไม่มีภารโรง)ผมอาจไม่ละเอียดนัก แต่มองว่า ทฤษฎีบริหารสมัยนี้ มันบ้ามาก เจ้านาย และ ดร.โง่ๆ ก็เยอะเหลือเกิน ขอบคุณที่คุณเขียนให้ผมคิดต่อ

ผมมองคุณออกว่าเป็นคนดี คนหนึ่ง คิดละอียด มีแง่คิดชวนปฏิบัติ อ่านไปแล้วก็เครียด

แต่พออ่านไปเรื่อย ทำให้คิดถึง เจ้านาย บอกว่าเป็นผู้บังตับบัญชา อย่าไปทำเอง ให้ใช้ลูกน้อง

ที่โรงเรียนมีครู ๔ คน ผมจะใช้เขาอยู่ร่ำไปหรือ ทำไมไม่สอนผมให้ช่วยเขาทำบ้าง

ทุกวันนี้ ผม ต้องคิดเอง ทำเอง ใช้คนอื่นให้น้อย สงสารครูที่สอนหลายห้อง สั่งให้น้อย เป็นเพื่อนร่วมงานมากกว่าเจ้านาย อาจเป็นผู้นำบ้าง วางท่าเป็นนนายไม่เคยทำ อะไรทำได้ทำ เก็บขยะ กวาดโรงเรียน ล้างส้วม จัดเอกสาร (เพราะไม่มีภารโรง)ผมอาจไม่ละเอียดนัก แต่มองว่า ทฤษฎีบริหารสมัยนี้ มันบ้ามาก เจ้านาย และ ดร.โง่ๆ ก็เยอะเหลือเกิน ขอบคุณที่คุณเขียนให้ผมคิดต่อ

น้องแมวน้อยกาฟิลด์มีคุณพ่อที่น่ารักและลึกซึ้งมากครับ

ขอบพระคุณท่านอาจารย์ Poo ครับผม ที่แวะเข้ามาเยี่ยมชม และให้กำลังใจ ขอให้ท่านอาจารย์มีความสุขอย่างยั่งยืนตลอดๆไปนะครับ ^_^

..หน้าที่ของผมก็คือ "กระตุ้นให้เขาได้ใช้ปัญญาดึงเอาความดีงามในตนเองออกมาใช้ ก็เท่านั้น..

ขอชื่นชมความกล้าหาญ ในการตัดสินใจค่ะ
เชื่อว่า หลายคนในองค์กร คงเสียดายที่บุคลากรซึ่งมี "จิต"สำนึก, และ "วิญญาณ" ของคนเป็นอาจารย์เช่นนี้..

ณ วันนี้ คำตอบว่า สุขอยู่ที่ไหน
คงอยู่ตรงกลาง ระหว่าง อิสรภาพ กับ ความมีคุณค่าต่อเพื่อนมนุษย์..

ยังคงเดินทางค้นหาจุดนั้นอยู่ค่ะ

ขอติดตามเรียนรู้จากอาจารย์ด้วยนะคะ

 

 

ขอบพระคุณท่านอาจารย์โสภณ ครับ ผมก็ถือโอกาสนี้สวัสดีปีใหม่ท่านอาจารย์ด้วย ขอให้ท่านอาจารย์มีสุขภาพแข็งแรง มีความสุขที่ยั่งยืน ตลอดปีและตลอดไปครับผม ^_^

ขอบพระคุณท่านอาจารย์ ชยันต์ เพชรศรีจันทร์ ครับผม สำหรับการเข้ามาเยี่ยมชม แลกเปลี่ยนเรียนรู้ เช่นกันนะครับท่านอาจารย์ ผมรับรู้ได้ในคุณค่าความดีงามที่ท่านอาจารย์ได้ลงมือทำอยู่ บุคลากรน้อย แต่หากทุกคนมีความเข้าใจและกระทำในบทบาทหน้าที่ของตนโดยไม่ขาดตกบกพร่อง ส่วนที่เกินก็คือ ความช่วยเหลือเอื้ออาทรกันไป เป็นสิ่งที่ดียิ่งครับท่านอาจารย์ และหากได้ผู้บังคับบัญชาที่มีความเข้าใจมนุษย์แบบท่านอาจารย์ ผมคิดว่าสังคมการทำงานของเราจะเปลี่ยนไปอีกแบบเลย คนญี่ปุ่นเขามองว่า ก่อนที่เราจะใช้ให้คนอื่นทำ เราต้อง Pro คือเชี่ยวชาญและชำนาญนั้นแบบแทงทะลุเสียก่อน เพราะเวลาลูกน้องมีปัญหา เราจะได้แนะนำแนวทางที่ถูกและลงมือทำให้เขาดูได้อย่างชัดเจน หมดข้อสงสัย ครับผม ท่านอาจารย์ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบแล้วครับผม

ผมเป็นคนจริงจังมาก หลายคนบอกผมอย่างนั้น บางคนไม่เข้าใจผมเขาก็ไม่ค่อยสนใจในสิ่งที่ผมบอกกล่าวเท่าไหร่ ผมเขียนบันทึกยังทำให้อาจารย์เครียดเลย ^_^ มันเป็นจิตวิญญาณผมไปเสียแล้วครับผม มีโอกาสจะเข้าไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับท่านอาจารย์นะครับ

ขอบพระคุณท่านอาจารย์ทิมดาบ ครับ ที่ได้เข้ามาเยี่ยมชม ท่านอาจารย์ก็แบ่งปันเรื่องราวที่มีคุณค่า และลึกซึ้งให้ผมได้เรียนรู้อยู่เสมอครับ ผมถือโอกาสอวยพรปีใหม่ท่านอาจารย์เลยแล้วกันนะครับ ขอให้ท่านอาจารย์สุขภาพแข็งแรง มีจิตใจที่เข้มแข็ง แบ่งปันเรื่องราวดีๆต่อไป มีความสุขที่ยั่งยืนตลอดไปนะครับผม ^_^

ขอบพระคุณท่านอาจารย์ ป.ในกำลังใจที่ดีเสมอมาครับ

ผมได้รับองค์ความรู้ที่ดีจากครูบาอาจารย์ทุกๆท่านใน gotoknow โดยเฉพาะท่านอาจารย์ ป.ที่ผมประทับใจในจิตวิญญาณการพัฒนาตนเอง ทำให้ผมทึ่งมากๆเพราะไม่ค่อยเคยได้รับรู้ในลักษณะเช่นนี้ (อาจจะมีอยู่อีกมาก) ท่านอาจารย์คือต้นแบบที่ดีในการพัฒนาตนเองเท่าที่ผมรับรู้ได้ครับ ผมก็ขอเป็นกำลังใจให้ท่านอาจารย์ค้นพบ "ตรงกลาง ระหว่าง อิสรภาพ กับ ความมีคุณค่าต่อเพื่อนมนุษย์.." โดยกระจ่างและชัดแจ้ง ชื่นชมท่านอาจารย์เช่นกันครับผม ^_^

* สวัสดีปีใหม่ใจสดใส

หมดทุกข์โศกโรคภัยไม่หม่นหมอง

ปรารถนาสุขสิ่งใดให้สมปอง

พรสนองทุกทิวาราตรีกาล

 

นงนาท สนธิสุวรรณ

๑ มกราคม ๒๕๕๕

 

ชื่นชมยินดีด้วยครับ กับการปลดปล่อยตัวเองออกมา จากกรอบที่ครอบเราไว้

ขอบพระคุณท่านอาจารย์ นงนาท ครัผม สำหรับคำอวยพร และ ส.ค.ส.ที่น่ารัก ^_^

ขอบพระคุณท่านอาจารย์ วิชชา ที่เป็นกำลังใจที่ดีให้ผม เสอมมาครับผม ^_^

ยินดีกับขอบขวัญที่มีคุณค่าต่อการแสดงบทบาทในชีวิต ขอบคุณมากครับ

Merry Christmas in advance:)

ขอบพระคุณท่านอาจารย์แม่ใหญ่ และท่านอาจารย์ Dr.Pop ครับผม

สำหรับดอกไม้ให้กำลังใจ และเข้ามาเยี่ยมเยียนครับผม ในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ผมขออวยพรให้ท่านอาจารย์ทั้งสองมีสุขภาพสมบูรณ์ แข็งแรง มีความสุขที่ยั่งยืนตลอดปีและตลอดไปครับผม ^_^

สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๕ ค่ะ

ดีจังครับได้เกษียณตัวเอง ขอให้มีความสุขนะครับ

สวัสดีปีใหม่คะ

ขอให้มีความสุขมากๆตลอดปีใหม่นี้นะคะ

 

สวัสดีปีใหม่ พ.ศ. 2000 + 555

ขออวยพรให้มีความสุข สุขภาพแข็งแรง มีชีวิตที่เบิกบานสดใส สมหวังในสิ่งที่ปรารถนา คิดเงินให้ได้เงิน คิดทองให้ได้ทอง และประสบแต่สิ่งที่ดีงามตลอดปีและตลอดไปนะครับ

แวะเอาภาพสวยๆมาสวัสดีปีใหม่ครับ

  • กลับมาอ่านอีกครั้งค่ะ
  • คนเราส่วนมากเมื่อมีบทบาทหรือตำแหน่งที่สูงขึ้นแล้ว จะใช้อำนาจที่ตนเองมีอยู่ในการบังคับบัญชา ซึ่งเป็นความคิดที่ผิด คนเราอยู่กับลูกน้อง ต้องขึ้นอยู่ที่ใจเรา โดยการ เอาใจเขามาใส่ใจเรา และเอาใจเราไปใส่ใจเขา เกื้อกูลกันในฐานะที่ได้ทำงานร่วมกัน เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันมากกว่า การใช้อำนาจในทางที่เป็นนายคน...เพราะจะไม่ได้ใจลูกน้องเลย...
  • ความจริง ทฤษฎีมีให้เราได้ศึกษา เรียนรู้ แต่คนส่วนใหญ่กลับใช้ความรู้ที่มีมาใช้กับลูกน้องในทางที่ผิด ๆ
  • เรียกว่า "ใช้อำนาจ" จากตำแหน่งงานกันเสียจนเกินคุ้มกับตำแหน่งที่ได้รับเสียจริง ๆ ค่ะ โดยลืมนึกไปว่า "คุณค่าของความเป็นคน" ของแต่ละคน เขามีอยู่ในตัวเองค่ะ
  • สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๕ นะคะ

ขอบพระคุณท่านอาจารย์เอก, ท่านอาจารย์แม่ต้อย, ท่านอาจารย์อักขณิช, ท่านอาจารย์ Peter p, และท่านอาจารย์บุษยมาศ ครับผม ในสิ่งที่ท่านอาจารย์ทุกท่านอำนวยพร ให้กำลังใจ และเป็นกำลังใจที่ดีเสมอมาครับผม

ผมขอส่งความดีงามให้กลับคืนสู่ทุกท่านด้วยเช่นกัน หากในสิ่งที่ท่านอาจารย์ทุกท่านให้กระผมมาผมรับรู้ได้ว่ามันมากเกินความพอเพียงในสิ่งที่ผมปรารถนา แต่กระผมเองก็มีเจตนาแบ่งปันสิ่งที่เป็นความดีงามทั้งหลายนี้ กลับคืนสู่ทุกๆท่านจากใจจริงของกระผมครับ

ทุกวันนี้กระผมนั่งทบทวนตัวเองเสมอ และบอกตัวเองเสมอด้วยเช่นกันว่า การที่จะทำให้คนอื่นเขาคิดแบบเรานั้น มันเป็นไปไม่ได้หรอก อย่ายึดมั่นมาก เพราะท้ายสุดคนที่ทุกข์คือตัวเราเอง การที่แต่ละท่านเขาเป็นแบบนั้นเราควรพยายามทำความเข้าใจถึงเหตุ ปัจจัย ที่มันทำให้เกิดความแตกต่างจะดีกว่า (ปัจเจก) ท่านก็เป็นของท่านแบบนั้น เข้าใจ เราจะได้มองท่านแบบเมตตา ปล่อยวางลง จะได้ไม่ทุกข์ และมีสติอยู่กับท่านจนกว่าจะหมด "กรรม" กันไปโดยไม่ยึดติดกันไปอีก (ขออโหสิกรรมครับ)

ผมบอกศิษย์ผมเสมอว่า "สมัยนี้การได้หัวหน้าที่ดีนั้น เสมือนถูกรางวัลที่หนึ่งเลยทีเดียว ดังนั้นจงเก็บความดีที่งดงาม ความรัก ความเอื้ออาทรที่มีต่อกันไว้ในความทรงจำที่ดี ตราบนานเท่านาน" แต่หากเราไม่ได้เป็นเช่นนี้ "การอโหสิกรรมแก่กัน" จะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ลบเลื่อนไปให้เร็วที่สุด อย่าผูกอาฆาตพยาบาทต่อกันไว้ ที่สำคัญอย่านินทาเขาลับหลัง หากจะจบขอให้จบและเคลียร์กันแบบ face to face นี่คือความสง่างามของผู้ได้ชื่อว่าเป็น "บัณฑิต"

ไม่เห็นเขียนบันทึกนานแล้ว

ตามมาทวงครับ

สวัสดีครับท่านอาจารย์ทิมดาบ

ตอนนี้กระผมอยู่ในช่วงเคลียร์ตัวเอง และถ่ายงานในความรับผิดชอบอยู่ครับผม หลังจากวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ จิตวิญญาณผมเป็นอิสระเต็มตัว ถึงเวลานั้นมีเวลานั่งเขียนเยอะแน่เลยครับ ๕๕๕+++ ^^" ขอบพระคุณที่แวะมาทักทายครับผม

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท