ผมสอนวิชามนุษย์กับการเรียนรู้ ครั้งที่ 2 ตั้งแต่ วันศุกร์ 18 พฤศจิกายน 2554 แต่มาเขียบันทึกในวันพุธที่ 22 พฤศจิกายน ดังนั้น ข้อมูลส่วนหนึ่งอาจเลือนไปแล้วจากที่เก็บข้อมูลที่ไม่เพียงต่อปริมาณงานของผม
วันนั้นผมเดินลงไปด้านล่าง (โต๊ะทำงานผมอยู่ชั้น 2 ของตึกห้องเรียนวิชานี้) เห็นนิสิตจำนวนมากยืนออกันอยู่หน้าห้อง sc2-106 (ห้องเรียน) ทราบทีหลังว่า อาจารย์ที่สอนคาบก่อนหน้านั้นยังไม่ปล่อยนิสิต ผมรอสักครูใหญ่ เลยเวลาไปแล้วประมาณ 10 นาที ผมจึงเปิดประตูเข้าไปอีกครั้งแล้วบอกท่านอาจารย์ท่านนั้นว่า "ท่านอาจารย์ครับ เลยเวลาแล้วครับ" ท่านบอกว่า "อ้าวเหรอ ขออภัยมากๆ ครับ" ในใจผมไม่เคือง ไม่คิดขุ่นใจอะไรแม้แต่น้อย กลับกัน ขณะนั้นผมกลับชื่นชม อาจารย์ท่านนั้นมาก ในใจผมคิดว่า อาจารย์ที่สอนจนลืมเวลาก็ยังคงมีหลงเหลืออยู่....
ผมเริ่มเรียนโดยการ ใช้ "กิจกรรมนำสมาธิแลสติมาไว้กับตัว" ครั้งนี้ไม่ยากเหมือนครั้งที่ 1 ดูเหมือนว่า นิสิตหลายๆ คนจะเปิดใจรับผมบ้างแล้ว กิจกรรมนี้ให้ นิสิตทุกคนหลับตาลง วางตัวตามสบาย แล้วเปลี่ยนมาใช้โหมดรู้สึกตัว คือให้ใช้อุปกรณ์ทั้ง 4 คือ ตา หู จมูก ลิ้น และผมกาย รับรู้ความรู้สึกด้วยใจ ไปตามจุดต่างๆ ของร่างกาย ในทางปฏิบัติธรรม เราเรียกว่า "เพ่งจิต" ไปที่สุดต่างๆ ไล่ตั้งแต่ ปลายเท้าย ข้อเท้า น่อง หัวเข่า ต้นขา เอว รู้สึกว่ากำลังนั่ง กลางหลัง ไหล่ หัวไหล่ซ้าย ท่อนแขนด้านบนด้านซ้าย ข้อศอกซ้าย ข้อมือซ้าย ปลายมือซ้าย กลับมายัง ข้อมือซ้าย ข้อศอกซ้าย ท่อนแขนด้านบนด้านซ้าย ไล่ไปยัง หัวไหล่ขวา ไล่ลงไปถึงปลายนิ้วมือขวา ไล่กลับขึ้นมาที่ไหล่ ไปยังท้ายทอย ขึ้นไปยังกลางกระหม่อม หน้าผาก ระหว่างคิ้ว สังเกตคิ้วขมวดหรือไม่ ลงมาที่จมูก รู้สึกถึงลมเข้าออกที่ผ่านจมูก รู้สึกมาที่ลิ้น แล้ว ให้รู้สึกรวมๆ ทั้่งตัว ก่อนจะลืมตา..... เพียงเท่านี้ นิสิตทุกคนก็พร้อมจะเริ่มเรียนแล้ว
หลังจากกิจกรรมดังกล่าวข้างต้น ผมบรรยายเพิ่มเติมทันทีเกี่ยวกับเรื่อง สมองสองโหมด คือโหมดปกติหรือโหมอผ่อนคลาย และโหมดปกป้อง มนุษย์จะเรียนรู้ก็ต่อเมื่อสมองอยู่ในโหมดผ่อนคลายเท่านั้น การจะทำให้สมองอยู่ในโหมดนี้ได้ คือทำให้คลื่นในสมองต่ำลง (บรรยายเรื่องความถี่ย่านต่างๆ ของสมองด้วย) และกิจกรรมดังกล่าวที่ผ่านมา ก็มีส่วนในการทำให้คลื่นสมองต่ำลง
ผมใช้เวลาบรรยายเรื่องประมาณ 15 นาที ก็จบเรื่องการทำงานของสมอง พร้อมๆ กับสมาธิที่ลดระดับลงเรื่อยของนิสิตส่วนหนึ่ง.... ผมเห็นด้วยว่าเด็นสมัยนี้ สมาธิจะยืดยาวอยู่ได้เพียงประมาณ 20 นาทีเท่านั้น ต้องสลับกับกิจกรรมที่ให้รูปแบบการเรียนรู้เปลี่ยนไปจะเหมาะกว่า
ผมใช้ "เดินนับก้าว" ในการสอนให้นิสิตรู้ว่า การเรียนรู้ของมนุษย์นั้นเป็นไปได้ใน 3 รูปแบบ คือ จากการฟังหรืออ่านหรือดู จากการคิดจินตนาการ และจากการปฏิบัติหรือการเจริญสติ
เริ่มด้วยการยิงคำถามว่า "นิสิตครับ มีใครสังเกตลานตรงกลางของตึกนี้ไหม จะมีทางเดินหินอ่อน วางเป็นก้าวทางเดิน เป็นรูปวงกลม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 12 เมตร หากเราเดินด้วยก้าวปกติจะนับได้ประมาณ 200 ก้าว (ผมพยายามใส่ข้อมูลลงไปในสมองของนิสิต บางคนอาจกำลังเรียนรู้ด้วยการจำ บางคนอาจเชื่อง่ายโดยไม่ได้พิจารณาอะไร) วิธีการที่จะให้พวกเขาเรียนด้วยการคิด ผมใช้คำถามว่า "อาจารย์อยากให้พวกเราแต่ละคนลองพิจารณาว่า ข้อมูลที่อาจารย์บอก น่าเชื่อถือหรือไม่ และแต่ละคนคิดว่าน่าจะใช้จำนวนกี่ก้าวเดินของตน (กระตุ้นการเรียนรู้ด้วยวิธีการคิด) มีนิสิตคนหนึ่งชื่อ ธนวัฒน์ ตอบว่า ประมาณ 150 ก้าวครับ ผมถามเขาทันทีว่า เราเรียนสาขาวิชาอะไร ธนวัฒน์เรียนสาขาภูมิศาสตร์ ผมได้โอกาสบรรยายทันที และอธิบายว่า วิธีการประมาณของธนวัฒน์ เขาเรียกว่าการเรียนด้วยวิธีการคิด หรือที่พระพุทธองค์ท่านเรียกว่า จินตมยปัญญา
หลังจากนั้น ให้นิสิตเดินเป็นแถวตอน 2 แถว ไม่ให้พูด ก้มหน้าต่ำ ให้ทุกคนมีสติ และใช้สมาธิในการนับก้าวเดินของตน โดยให้เดินออกนอกห้องไปวนรอบทางเดินหินอ่อนนั้น 1 รอบ แล้วกล้บเข้าห้อง หลังจากกลับเข้าห้อง พบว่าคำตอบของนิสิตแต่ละคนอยู่ที่ประมาณ 132-135 ก้าว ผมชี้ให้เห็นว่า นี่คือการเรียนแบบปฏิบัติ ผมประยุกต์ใช้คำเทศนาของหลวงปู่ชา สุภัทโท ที่ท่านสอนเรื่องการ "บรรลุ" ว่า แต่ก่อนนิสิตอาจไม่มาเรียนที่นี่แต่ไม่เคยเห็นวงกลมทางเดินหินนั้นเลย หรือว่าอาจเคยเห็น แต่ไม่เคยได้รู้ว่ามันทำจากหินอ่อน หรือแม้รู้ว่าทำจากหินอ่อน ก็ไม่เคยรู้ว่าต้องเดินประมาณ 135 ก้าวจึงจะครบรอบ แต่บัดนี้ เราไม่ต้องถามใครแล้ว ไม่ต้องไปอ่านที่ไหนแล้ว ไม่สงสัยแล้ว นี่คือแก่นของการเรียนรู้ คือเรียนรู้จากการปฏิบัติ......... สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ.....เรียนรู้ด้วยตนเอง.... นั่นเอง
มีความสุขมาก จนรู้เท่าแทบไม่ทัน
อ.ต๋อย
ไม่มีความเห็น