(๑)
สัปดาห์ที่แล้วมีโอกาสได้จับเข่าคุย หรือ “โสเหล่” กับน้องๆ และเพื่อนร่วมงานแบบสบายๆ
เรื่องที่คุยกันเป็นเรื่อง “กฐินโบราณ” ที่กำลังจะมีขึ้นในวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๔
หลักๆ คือการทบทวนความเข้าใจในเรื่องกฐินที่กำลังรออยู่เบื้องหน้า รวมถึงการทบทวน “บทเรียน” ของการทำงานเมื่อปีที่แล้ว
(๒)
จริงๆ ในความเข้าใจของผมและทีมงานในรอบ ๓ ปีนั้น ผมเข้าใจว่ากฐินที่จัดขึ้นนั้น คือ “กฐินแล่น” (จุลกฐิน) ประกอบด้วยสาระสำคัญคือทำวันเดียวให้เสร็จสรรพ ทั้งตัดเย็บจีวร ย้อมสีจีวรและทอดถวาย ซึ่งกระบวนการดั้งเดิมก็คือ “ทำมือ” ล้วนๆ ไม่มีจัดซื้อแบบสำเร็จรูปไปทอดถวายเหมือนที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
กระบวนการ “ทำมือ” ที่ว่านั้นเป็นกระบวนการดั้งเดิมแต่โบราณกาล ผมจึงเรียกติดปากเป็นวาทกรรมของกิจกรรมนี้ว่า “กฐินโบราณ” และเคยได้พาน้องๆ ทีมงาน หรือแม้แต่นิสิตได้ฟื้นฟู “กฐินโบราณ” ในมิติที่ตนเองเข้าใจมาแล้ว ๓ ครั้ง
และทุกครั้งที่จัด ก็จะเป็นการจัดบนพื้นฐานของการเรียนรู้ร่วมกับชาวบ้าน ซึ่งก็เป็นที่น่าแปลกประหลาดว่า ๓ ครั้งที่ผ่านมา หมู่บ้านที่เราปักกฐินโบราณนั้น เรียกได้ว่ายังไม่เคยจัดกฐินโบราณเลยสักครั้ง
กระบวนการเช่นนั้น เป็นกลไกในการชวนให้ชาวบ้านได้หวนกลับไปสำรวจ “ทุน” อันเป็น “คลังความรู้” ของตัวเองว่าหลงลืมเรื่องเหล่านี้ไปหรือยัง เป็นทั้งการนำพาให้ผู้คนในชุมชนได้หันกลับไปยกย่องเชิดชูคนแก่เฒ่าผู้เป็นปราชญ์ที่กำลังถูกหลงลืม ตลอดจนเป็นกลไกของการนำพาชาวบ้านให้กลับไปศึกษานิเวศวัฒนธรรม และป่าชุมชนไปในตัว
นอกจากนั้น ยังเน้นกิจกรรมที่ไม่ฟุ้งเพ้อฟุ่มเฟือย ไม่มีการล้มวัวล้มควาย เน้นการกินปลาเป็นหลัก กินผักเป็นพื้น ใครมีข้าว มีผัก มีหอย มีผลหมากรากไม้อะไรก็นำมาสมทบแบบพึ่งพากันและกัน และนั่นยังรวมถึงการผ่อนเบาในเรื่องเหล้ายาปลาปิ้งไปในที
ครั้นตกกลางค่ำกลางคืน ก็ตัดทอนมหรสพและแสงสีเสียงใหญ่ๆ โตๆ ลง ด้วยการหันกลับไปฟื้น “งานวัด” แบบเรียบง่ายขึ้นแทน มีกิจกรรมสอยดาว รวมถึงมีรำวงชาวบ้านที่นิสิตและชาวบ้านพร้อมใจกันเป็น “นางรำ” และ “นักร้อง” อย่างไม่เขินอาย โดยเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ได้รับมาจะไม่หักค่าใช้จ่ายแม้แต่แดงเดียว แต่จะนำไปถวายวัด หรือไม่ก็มอบให้กับชุมชนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายอื่นๆ ตามเห็นสมควร
เชื่อหรือไม่ครับ ในแต่ละครั้งเมื่อหักค่าใช้จ่ายแล้วมีเงินถวายวัดไม่เคยต่ำกว่า ๔ หมื่นบาทเลยสักครั้ง ต่างจากกฐินใหญ่ๆ ที่ทำกันอยู่ในปัจจุบัน ได้เงินมาเยอะแยะ แต่พอหักค่าใช้จ่ายแล้ว เหลือเงินอยู่เพียงน้อยนิด แถมยังเหนื่อยอย่างมากโข แต่การงานของผมนั้น สนุก เรียบง่าย ...ได้ความรู้ไปพร้อมๆ กัน เรียกได้ว่าครบถ้วนตามสไตล์ถนัดคือ “บันเทิง เริงปัญญา”
(๓)
การพูดคุยกันในวันนั้น ผมเปิดประเด็นด้วยการชวนเชิญในแต่ละคนพูดถึงความเป็น “กฐิน” ในมุมมองและความเข้าใจของแต่ละคน ทั้งในมิติของแก่นรากทางประวัติศาสตร์ สภาพปัจจุบันของกฐิน หรือแม้แต่กระบวนการของ “กฐินโบราณ” ที่ได้ร่วมขับเคลื่อนมาด้วยกัน
ในวง “โสเหล่” กันมีเพียงไม่กี่คนที่พูดถึงเรื่องเหล่านี้ได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งผมเองก็ไม่ได้ผิดหวัง หรือแต่พิพากษาใดๆ กับความรู้ หรือคลังความรู้ที่แต่ละคนได้สะท้อนมา ตรงกันข้ามกลับบอกเล่าถึงรายละเอียดของความเป็น “กฐิน” ให้แน่นหนักอีกรอบประมาณว่า...
“...เดือนสิบเอ็ดน้ำนอง เดือนสิบสองน้ำทรง ออกพรรษาก็เข้าสู่กฐินศรัทธา, กฐิน เป็นคำ บาลีแปลว่า “ไม้สะดึง” อันเป็นกรอบไม้ที่คนในสมัยก่อนใช้ขึงยึดเพื่อเย็บผ้า โดยในอดีตคนเราจะเย็บผ้าหลายๆ ชิ้นเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า วิธีเย็บจะเย็บเป็นตะเข็บเหมือน “คันนา” (พระสงฆ์เรียกว่าขันธ์) ผ้าที่เย็บผ่านไม้สะดึงนี้เรียกว่า “ผ้ากฐิน” ซึ่งแรกเริ่มเป็นกิจของสงฆ์ โดยเอาผ้าที่ไม่มีเจ้าของ หรือผ้าที่เกิดจากการบังสุกุลมาเย็บและย้อมสีเป็นจีวร ต่อเมื่อชาวบ้านเกิดความเลื่อมใสศรัทธา จึงขันอาสามาเย็บและย้อมจีวรถวายพระเอง จนเป็นที่มาของการทอดกฐินสืบมาจนทุกวันนี้....”
นั่นคือสาระโดยสังเขปที่ผมนำไปบอกเล่าเพื่อ “ทบทวน” ความรู้ของแต่ละคนอีกรอบ เพื่อให้มั่นคงต่อวิถีของการขับเคลื่อนเรื่องกฐินโบราณ ภายใต้แนวคิดดั้งเดิมคือ “เย็บเอง..ย้อมเอง..”
(๔)
การจัดกิจกรรมเรียนรู้เพื่อการอนุรักษ์และสืบสานประเพณีกฐินโบราณในแต่ละครั้งนั้น ผมจะพยายามไม่รีบเร่งปักกฐินตามวัดต่างๆ แต่จะรอจนกว่าชัดเจนแล้วว่าวัดเหล่านั้น “ปลอดหรือร้างกฐิน” ผมและทีมงานถึงจะขยับเข้าไปพบปะ หารือถึงความเป็นไปได้
โดยสาระสำคัญก็คือผมจะเน้น “ความพร้อม” ของชุมชนเป็นที่ตั้ง
ความพร้อมที่ว่านั้นหมายถึง “ใจพร้อมที่จะทำ”
ดังนั้นภายใต้กิจกรรมหลัก คือการ “เย็บและย้อมสีจีวร” ผ่านกระบวนการดั้งเดิมนั้น ที่เหลือจะเป็นเรื่องที่ชุมชนต้องคุยกันเองว่าจะมีกิจกรรมเสริมสร้างการเรียนรู้ร่วมกันอย่างไรบ้าง ซึ่งนั่นก็หมายถึงการทิ้งประเด็นให้ชุมชนหันกลับไป “ทบทวนคลังความรู้” ของตัวเองอย่างจริงๆ จัง หลายเรื่องคนรุ่นเก่าอาจหลงลืม หรือแม้แต่ไม่เคยพบเห็น และหลายเรื่องที่ว่านั้นคนรุ่นใหม่ที่เป็นลูกหลานของชุมชนนั้นๆ ก็ยิ่งอาจจะไม่เคยแม้กระทั่งได้ยินและได้เห็นมาเลยก็เป็นได้
ด้วยเหตุนี้ กระบวนการทบทวนดังกล่าว จึงกลายเป็นการพลิกฟื้น “มรดกทางสังคม” ให้ลูกหลานได้สัมผัสและเรียนรู้ถึง “คลังความรู้" ของเขาเอง
(๖)
ครั้งนั้น-ผมเลือกบ้านโนนแสบงเพราะประความพร้อมจากกิจกรรม ๑ คณะ ๑ หมู่บ้านแล้วมองเห็นความเป็นปึกแผ่นของชาวบ้าน รวมถึงชาวบ้านก็มีทุนทางใจอันยิ่งใหญ่ที่จะเรียนรู้และร่วมฟื้นฟูประเพณีอันดีงามนี้อย่างแน่นหนัก ตลอดจนผมเองก็มองว่าหากนิสิตจากคณะการท่องเที่ยวและการโรงแรมได้ขับเคลื่อนกิจกรรมนี้ ก็น่าจะเป็นผลดีต่อการเติบโตทางทัศนคติของเขาเอง เพราะการลงชุมชนในวิถีเช่นนี้ น่าจะมีประโยชน์ต่อการติด "อาวุธทางปัญญา" ให้แก่นิสิตได้บ้าง เพราะในระบบที่มุ่งผลิตบัณฑิตสู่ “อุตสาหกรรมโรงแรม” ที่แต่ละคนกำลังตั้งหน้าตั้งตาเรียนกันอย่างคร่ำเคร่งอยู่นั้น อาจขาดๆ เกินๆ ที่จะเรียนรู้ในเรื่องเหล่านี้อยู่บ้างก็เป็นได้
และในส่วนของชุมชนนั้น เห็นได้ชัดว่ามีการทบทวนคลังความรู้ตัวเองอย่างยกใหญ่ จนนำไปสู่การสร้างพื้นที่การเรียนรู้ขึ้นมาอย่างหลากหลายรูปแบบ อาทิ การบีบนวดขนมจีน การทำพลุโบราณ ตะไล สนูว่าว นวดข้าวด้วยมือ ซึ่งทุกกิจกรรมนิสิตจะเข้าไปเรียนรู้ร่วมกับชาวบ้าน หรือไม่ก็ก้าวเข้าไปเป็น “ลูกมือ”ชาวบ้านในกิจกรรมนั้นๆ ตามแบบฉบับของวาทกรรม “สอนลูกสอนสานสืบสานวัฒนธรรม”
นอกจากนั้นยังมีกิจกรรมอื่นๆ เติมเต็มเข้ามา เช่น สรภัญญะ นิทานตำนานกฐิน (สืบฮอยตา วาฮอยปู่) ซึ่งมีชาวบ้านทำหน้าที่เป็น “ครูภูมิปัญญา” คอยหนุนนำและนำพาลูกหลานไปสู่การเรียนรู้อย่างอบอุ่น
(๗)
สำหรับปีนี้ ทั้งผมและทีมงานตัดสินใจที่จะปักกฐินโบราณ ณ บ้านดอนหน่อง ต.ขามเรียง อ.กันทรวิชัย และถือเป็นกระบวนการต่อเนื่องของกิจกรรม ๑ คณะ ๑ หมู่บ้านไปในตัว
ปีนี้ผมและทีมงานอาจจะผ่อนเบามือลงมากกว่าเดิม เพราะล่าสุดผู้นำนิสิตเริ่มเห็นความสำคัญและอยากลงมือทำกันเองแล้ว ซึ่งองค์การนิสิต นำโดยนายวิเศษ นาคชัย นายกองค์การนิสิต ขานรับแนวคิดถึงขั้นบรรจุเป็นแผนงานขององค์การนิสิตเลยทีเดียว
ส่วนรายละเอียดอื่นๆ นั้น เพียงไม่กี่อึดใจก็น่าจะปรากฏเป็นรูปร่าง ไม่เร่งรีบมากมายจนดูเป็นร้อนรน เพราะยึดในกรอบดั้งเดิมคือ “โบร่ำโบราณ” เป็นที่ตั้ง อันหมายถึงการทำให้แล้วเสร็จในวันเดียวตามแบบจุลกฐิน หรือกฐินแล่น (ฟ้าว,วิ่ง หรือในภาษาอีสานแปลว่าวิ่งอย่างรีบเร่ง)
(๘)
ครับ-เชิญมาเรียนรู้กฐินโบราณร่วมกันนะครับ และที่สำคัญอย่าลืมเอาใจช่วยผมและน้องๆ ด้วยก็แล้วกัน เพราะงานนี้ “ใจนำพา ศรัทธานำทาง” ล้วนๆ
หมายเหตุ
๑. กฐินโบราณในปี ๒๕๕๓ เป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรม ๑ คณะ ๑ หมู่บ้าน เจ้าภาพหลักคือสโมสรนิสิตคณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม
๒. ได้รับเงินจากวิถีแห่งใจถวายวัดจำนวนทั้งสิ้น 74,262 บาท
*** มาเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่ ทำบุญใหญ่ ขอร่วมอนุโมทนาด้วยนะคะ
*** ตั้งชื่อบันทึก ถูกใจมากค่ะ อาจารย์
..สวัสดีค่ะคุณแผ่นดิน..ดีใจที่ได้อ่านเรื่องนี้...เมื่อวันที่๓๐พย.นี้..ที่วัด..สังฆทาน..ในเบอร์ลิน..ได้ยินจากท่านไล้ฟ(พระฝร้ง)บวชจากประเทศไทย..จำวัดอยู่วัดนี้..บอก"ยายธี"ว่าจะมีการทอดกฐินแบบโบราณ..คือเมื่อ..พระรับกฐิน..จะต้องย้อม.ผ้าที่รับมาให้เสร็จในวันนั้น..."ได้ยินแล้วทึ่งมากเลย"..เสียดายโอกาศที่ไม่ได้ไปร่วม..ทอดกฐินที่เบอรลิน..แต่ได้มาอ่าน..ในหน้านี้..ได้ความรู้มากขึ้น..ขอบพระคุณเจ้าค่ะ..ยายธี