"สรรพสิ่งทั้งหลายย่อมเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป"เป็นคติเตือนใจให้เราสามารถวางอุเบกขาในยามเกิดอุทกภัยได้เป็นอย่างดี


เป็นบุญกุศลเหลือเกินที่เมื่อเกิดเวทนาขึ้นครั้งนี้ แม้จิตจะแกว่งไปบ้าง แต่เราก็พอจะสามารถวางอุเบกขาได้บ้าง โดยใช้วิปัสสนาตั้งสติ เฝ้าดูมันไปด้วยความเข้าใจในกฏอนิจจัง ว่าทุกสิ่งย่อมเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป ใจเราก็พอจะคลายจากความเป็นทุกข์ได้บ้าง

   เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่เมื่อปี 2554 ในยามนี้ หลายชีวิต หลายครอบครัว ต้องประสบชะตากรรมกันถ้วนหน้าอย่างน่าเวทนายิ่ง ไม่มีการยกเว้นว่าใครรวยใครจน  คงไม่มีครั้งใดที่ธรรมชาติลงโทษเราอย่างรุนแรงโหดร้ายเท่าครั้งนี้
   
    

     ... บ้านน้อยหลังนี้สุขีเสียจริง  ปลูกไว้สมใจทุกสิ่ง  สวยจริงเป็นบ้านสีฟ้า
         เปิดหน้าต่างมองดู  ดอกไม้สวยหรูงามตา  ยามใครผ่านไปมา  
         ต่างยืนจ้องแอบมองไม่เว้น...

      
         บ้านหลังน้อย
อันเป็นที่พักพิงปฏิบัติธรรมเพื่อดูใจตัวเองในวัยหลังเกษียณของผมที่อำเภอไทรน้อย ต้นไม้ที่เราปลูก ดูแล ด้วยใจรัก มะยงชิด มะม่วง กระท้อน มะเฟือง มะกอกฯลฯ ที่เพิ่งออกดอกผลอย่างเต็มที่เมื่อปีที่แล้ว ยังไม่รวมถึงทรัพย์สินในบ้าน ตลอดจนพืชผัก ไม้ดอก ไม้ประดับอื่นๆอีกหลายอย่างที่กำลังเจริญงอกงามอย่างเต็มที่ก็พลันถูกทำลายลงไปในชั่วพริบตา และภาวะน้ำท่วมก็คงจะทรงตัวอยู่อีกยาวนาน  

  
     
    หากเราไม่มีฐานจากการฝึกจิต เมื่อเกิดเวทนาขึ้นในครั้งนี้คงสติแตก เกิดสังขารการปรุงแต่งไปสู่ความโทมนัสอย่างแสนสาหัสไปเหมือนกัน 

    เป็นบุญกุศลเหลือเกินที่เมื่อเกิดเวทนาขึ้นครั้งนี้ แม้จิตจะแกว่งไปบ้าง แต่เราก็พอจะสามารถวางอุเบกขาได้บ้าง โดยใช้วิปัสสนาตั้งสติ เฝ้าดูมันไปด้วยความเข้าใจในกฏอนิจจัง ว่าทุกสิ่งย่อมเกิดขึ้น  ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป  ใจเราก็พอจะคลายจากความเป็นทุกข์ได้บ้าง 
    เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เราเข้าใจในกฏธรรมชาติว่า  วิถีชีวิตในการดำรงชีวิต  จังหวะเวลาของธรรมชาติ  เอกภพ  จักรวาล  ดวงดาว  ตลอดจนพืช  สัตว์  แร่ธาตุ  มนุษย์ในโลก  สรรพสิ่งเหล่านี้ย่อมมีความสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ออก  ต่างอยู่ภายใต้กฏธรรมชาติเดียวกัน
     เปรียบเสมือนกายกับจิต โดยธรรมชาติจะไม่แยกจากกัน  จะต้องทำงานอย่างสมดุล  แต่ถ้าแยกส่วนกันเมื่อใด ก็จะเกิดปัญหา เกิดความทุกข์เมื่อนั้น
     มนุษย์เราที่คิดว่าตนเองวิเศษ  สามารถเปลี่ยนแปลงธรรมชาติได้  จึงสร้างเขื่อนกักน้ำไม่ให้ไหลไปโดยธรรมชาติ  ที่อยุธยาซึ่งเป็นพื้นที่ทำนา เป็นอู่ข้าวอู่น้ำมาตั้งแต่บรรพบุรุษ เขาสัญจรกันไปทางเรือ เราก็มาสร้างโรงงานอุตสาหกรรมปิดทางน้ำ  ที่จังหวัดนนทบุรีบ้านผม  เดิมเป็นเรือกสวนไร่นา  มีคลองซอยระบายน้ำ  ก็มาทำเป็นหมู่ บ้านจัดสรรปิดกั้นทางน้ำ จนไม่เหลือวิถีชีวิตของชาวสวน(ต้องซื้อทุเรียนกินกันลูกละเป็นหมื่น)ฯลฯ 

     
         
     "เวลาและวารี ไม่ใยดีจะคอยใคร" นี่คือธรรมชาติของเขา ซึ่งมนุษย์จะเก่งแค่ไหนก็ไม่อาจเอาชนะกฏธรรมชาติไปได้  ยิ่งทำลายระบบธรรมชาติซึ่งเป็นระบบนิเวศจนขาดความสมดุลเท่าไร ธรรมชาติก็จะลงโทษเราเฉกเช่นนั้น
      เมื่อระบบการคิดของมนุษย์เป็นเช่นนี้มานาน จนยากจะหวนคืนสู่สภาพดั้งเดิมได้ เหมือนติดกระดุมเม็ดแรกผิดเม็ดอื่นๆก็จะผิดตามมา  มนุษย์จึงต้องเดินหน้าสู้กับธรรมขาติต่อไป  เพราะขี่บนหลังเสือแล้ว  เช่นต้องสร้างเขื่อน สร้างกำแพงปิดกั้นให้มากขึ้น สูงขึ้น ยิ่งดิ้นรนเท่าไรก็ยิ่งยุ่งยาก เหมือนดั่งลิงแก้แห
            เพราะสรรพสิ่งในธรรมชาติครอบคลุมไปทั่วจักรวาล  เมื่อระบบนิเวศเปลี่ยนไป  โลกก็ร้อนขึ้น น้ำแข็งขั้วโลกก็ละลายสู่ทะเลทำให้น้ำทะเลสูงขึ้น  ความร้อนทำให้น้ำระเหยเป็นเมฆมากขึ้น กลายเป็นฝนตกหนักและรุนแรงขึ้น นี่ยังไม่รวมปรากฏการณ์แผ่นดินไหว และเรื่องอื่นๆอีก
     มนุษย์ที่ว่าแน่เหลือเกินจะสู้กับกฏธรรมชาติไหวหรือ  กำแพงกี่ชั้นจึงจะกันได้  หรือว่าคิดจะไปสร้างโลกอยู่กันไหม่
     
           บทเรียนครั้งนี้คงสอนเราให้รู้ว่า ต่อไปนี้เราจะต้องดำรงชีวิตอยู่กับธรรมชาติอย่างพึ่งพิงกันมากกว่าจะฝืนเอาชนะธรรมชาติ เราต้องช่วยกันดูแลอนุรักษ์ ฟื้นฟูธรรมชาติจะปลูกสร้างบ้านเรือนก็เป็นบ้านชั้นเดียวใต้ถุนโล่ง เมื่อเกิดอุทกภัยน้ำจะได้ไหลผ่านสะดวก จะสร้างถนนหนทางก็สร้างคู่ขนานกับทางน้ำไม่ให้ปิดกั้นทางน้ำ ถ้าจะสร้างเขื่อนเพิ่มขึ้นอีกก็ต้องมีระบบผันน้ำ ระบายน้ำ อย่างมีจังหวะจะโคนและยืดหยุ่น
       ท้ายสุดลองกลับมาทำความเข้าใจในกฎไตรลักษณ์(อนิจจัง  ทุกขัง  อนัตตา)ดีไหม แล้วพยายามลด ละ เลิก กิเลสที่เป็นสมุทัยของความทุกข์ให้เบาบางลง  มีจิตใจที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ฝึกการเป็นผู้ให้แก่ผู้อื่น และฝึกจิตให้มีสติ จนสามารถวางอุเบกขาเมื่อเกิดเวทนาเข้ามาทุกทวารในกายเรา เพื่อความทุกข์จะได้ผ่อนคลายบรรเทาลงไปและทำให้ใจเป็นสุขอย่างแท้จริง     

หมายเลขบันทึก: 466444เขียนเมื่อ 28 ตุลาคม 2011 12:13 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 มิถุนายน 2014 21:18 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

อ. ธเนศ ครับ

มาทักทายและให้กำลังใจครับ

วิจารณ์

ที่ผมเคยประสบภาวะน้ำท่วม สมัยที่เช่าบ้านบางแห่ง เวลาฝนตกหนักน้ำจะค่อย ๆ ไหลบ่าท่วมขึ้นมาท่วมถึงบริเวณภายในบ้าน ประมาณหัวเข่า เพราะน้ำไหลออกไม่ได้ และเพราะปี 2538 ที่พิษณุโลกเจอน้ำท่วมหนัก ทำให้ตัวเองตั้งใจว่า ยามที่มีโอกาสปลูกบ้าน จะขอสร้าง 2 ชั้น เผื่อชั้นที่ 1 ท่วม ทรัพย์สินต่าง ๆ รวมถึงผู้คนและสัตว์เลี้ยง จะได้พำนักชั้นที่ 2 แต่หากมีสภาพดั่งเช่นที่ท่านเจอ จิตคงจะฟุ้งไปอยู่พักใหญ่ครับ กว่าที่จะนิ่งได้ ขอเป็นกำลังใจครับ

ขออวยพรให้ทุกท่านอยู่รอดปลอดภัย และขอบคุณในความปรารถนาดีครับ

เรียนท่านอ.ธเนศค่ะ

คนไม่โดนน้ำท่วมก็ติดตามข่าวคราวทุกวันด้วยความเป็นห่วงเป็นใยผู้ประสบอุทกภัยครั้งนี้มาก รู้สึกเศร้าใจ จิตเศร้าหมองไปด้วย ได้แต่เห็นใจ และทำใจทุกครั้งที่เกิดเวทนา ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านค่ะ

ยังไม่เห็นภาพบ้านน้ำท่วมนะครับ

เข้าไปถ่ายรูปไม่ได้ครับ ร่วม 20 วันแล้ว ทราบว่าเข้าท่วมในบ้านเรียบร้อยแล้ว

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท